All articles abouts 10 เมืองน่าเที่ยวญี่ปุ่น

ตะลอนทัวร์ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน! เที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ไม่เบื่อ...

ตะลอนทัวร์ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน! เที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ไม่เบื่อ...

15 พ.ค. 61

        ญี่ปุ่น (Japan) ประเทศยอดนิยมตลอดกาลของนักเดินทางชาวไทย เพราะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ และยังโดดเด่นในเรื่องแฟชั่น การไปเที่ยวญี่ปุ่นเรียกได้ว่าไปกี่ครั้งก็คงไม่พอ เพราะแต่ละจังหวัดแต่ละเมืองของญี่ปุ่นนั้นต่างมีของดี และเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเอง แต่ละเมืองของญี่ปุ่นก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป หรือเพียงแค่ฤดูต่างกันก็จะสวยกันคนละแบบแล้วค่ะ         วันนี้ทัวร์ครับเลยไปเก็บข้อมูล คัดเลือกมาเฉพาะเมืองญี่ปุ่นเด็ดๆ กับ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน ที่จะทำให้คุณเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างไม่มีเบื่อ เลยค่ะ จะมีเมืองไหนบ้างนั้น ? ตามทัวร์ครับมาเลยค่ะ 1.เกียวโต (Kyoto)         เกียวโต (Kyoto) เมืองยอดฮิตสำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ทั้งวัดญี่ปุ่นที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อพันปีก่อน หรือบางครั้งเราอาจจะพบเห็นเหล่า เกอิชา ในชุดกิโมโน เดินอยู่ตามท้องถนนของญี่ปุ่น หรือใครอยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมชงชาญี่ปุ่นแบบโบราณ ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่น่าพลาดสำหรับการไปเที่ยวเกียวโต ไปเที่ยวช่วงไหนดี : ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม) / ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนพฤศจิกายน) 2.โอซาก้า (Osaka)         โอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวแห่งญี่ปุ่น เพราะเต็มไปด้วยอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ เจ้าดังมากมาย ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง เราก็สามารถหาร้านอาหารได้ง่ายมากๆ เรียกได้ว่ามีเวลาเที่ยวหลายวันกินยังชิมร้านอร่อยไม่ครบกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ยังมีมี พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Kaiyukan) พิพิธภัณฑ์สัตวทะเลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น หรือจะเป็น ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) แลนด์มาร์คเด็ดห้ามพลาดประจำโอซาก้า และเด็ดสุดก็คือ ยูนิเวิร์ลแซล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studio Japan) สวนสนุกระดับโลก ดินแดนแห่งความสนุกที่ไม่ว่าวัยไหนก็อยากมาค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี : โอซาก้าสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปีค่ะ แต่ช่วงไฮไลท์สุดก็จะเป็น  ฤดูใบไม้ ผลิ (Spring) เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ซึ่งดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งไปทั่วทุกบริเวณ ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) หรือใบไม้เปลี่ยนสี เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน ต้นไม้ทั่วทุกแห่งในโอซาก้า จะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มแดง เป็นฤดูที่เต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติอันงดงาม 3. ทาคายาม่า (Takayama)         ทาคายาม่า (Takayama) เมืองท่องเที่ยวเมืองเล็กในจังหวัดกิฟุที่ความสวยงามของที่เที่ยวไม่เล็กตาม โดยเฉพาะมรดกโลกอย่าง หมู่บ้านชิราคาวะโกะ ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ล้อมรอบด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีบางหลังที่เปิดเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไป สัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นโบราณ และเคล็ดลับในการสร้างบ้านที่สามารถทนทานกับทุกสภาพอากาศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของปรเทศญี่ปุ่นที่มีนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวอย่างคึกคักทุกๆปีค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : ฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์เลยค่ะ เพราะเราจะได้เห็น ภาพของหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทุกพื้นที่ สวยงามราวกับภาพวาด เป็นความสวยงามอันโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครเลยค่ะ 4.โตเกียว (Tokyo)        โตเกียว (Tokyo) จุดหมายปลายทางยอดฮิตที่ไม่ว่าจะกี่ปี ก็เป็นที่หน่งในดวงใจของคนไทยเสมอมา เต็มไปด้วยรีวิวเที่ยวโตเกียวมากมาย  ซึ่งโตเกียวนั้นได้รับฉายาว่าเป็น East Meets West (อีสต์ มีท เวสต์ ) หรือหมายถึง การมาบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกจนกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะที่เรียกว่า โตเกียว นั่นเองค่ะ        เราจะได้เห็นภาพของอาคารบ้านเรือนกับวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่น ท่ามกลางเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยอันแสนทันสมัย รวมถึงแฟชั่นแบบตะวันตกของตะวันที่ถูกนำมาประยุกต์ให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น โตเกียวจึงเป็นแหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อ ที่สาวกนักช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาดค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  โตเกียวสามารถมาเที่ยวได้ตลอดปี แต่ถ้าอยากชมความสวยงามของซากุระโตเกียว จะเริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม - เดือนเมษายน) หรือจะเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (เดือนตุลาตม - เดือนพฤศจิกายน) ที่ก็สวยไม่แพ้กันค่ะ  5. นิกโก้ (Nikko)      นิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองมรดกโลก ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยเอโดะ เมืองนิกโก้จึงได้ชื่อว่าเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริง เพราะเต็มไปวัดโบราณและศาลเจ้าสวยงามหลายแห่งยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์สวยงามของธรรมชาติ ทำให้นิกโก้ กลายเป็นเมืองญี่ปุ่นสุดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการชมธรรมชาติ สามารถเดินทางไปเที่ยวไม่ยาก เพราะไม่ห่างจากโตเกียวมาก นั่งรถเพียง 2 ชั่วโมงก็มาดื่มด่ำความสวยงามของนิกโก้ได้แบบสบายๆแล้วค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  ไฮไลท์ของนิกโก้ คือธรรมชาติที่สวยงาม ดังนั้นทัวร์ครับขอแนะนำให้มาดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่นิกโก้ในช่วง ใบไม้เปลี่ยนสี หรือในฤดูใบไม้ร่วงค่ะ (เดือนตุลาคม -  เดือนพฤศจิกายน) เพราะต้นไม้ทุกต้นของที่นี่จะพร้อมใจกันผลัดใบ เปลี่ยนเป็นสีส้มแดงกันทั่วบริเวณ นิกโก้จึงเป็นอีกหนึ่งเมืองที่โด่งดังในเรื่องของสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของญี่ปุ่น  6. ซัปโปโร (Sapporo)        ฮอกไกโด (Hokkaido) ดินแดนแหล่งอาหารทะเลสดแสนอร่อยของญี่ปุ่น สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่คุณจะได้สัมผัสกับความสโสว์ไลฟ์แบบญี่ปุ่น วิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่กลับเต็มเสน่ห์อันน่าค้นหา ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะในฤดูของฮอกไกโด ที่จะมีเทศกาลหิมะซัปโปโรประจำปี ซึ่งเต็มไปด้วยรุปปั้นหิมะ และผลงานน้ำแข็งแกะสลักจากศิลปินทั่วโลก จึงเป็นเทศกาลที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินมาซัปโปโร เพื่อมาเยี่ยมชมความสวยงามของเทศกาลซัปโปโรประจำปีนั่นเองค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : เราสามารถเดินทางมาเที่ยวฮอกไกโดกันได้แทบทั้งปีค่ะ แต่โดดเด่นสุดก็จะเป็นช่วง ฤดูร้อน (เดือนพฤษาคม - เดือนสิงหาคม) เป็นช่วงเวลาของดอกไม้ประจำฮอกไกโด อย่างทุ่งดอกลาเวนเดอร์ สีม่วงกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หรือจะเป็นช่วง ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์) จกับสภาพอากาศสุดหนาวเย็น และ เทศกาลหิมะซัปโปโรประจำปี 7. ฟุกุโอกะ (Fukuoka)      ฟุกุโอกะ (Fukuoka) เมืองหลวงแห่งเกาะคิวชู (Kyushu) และถึงจะเป็นเมืองหลวง แต่ฟุกุโอกะยังคงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย จนเราสามารถสัมผัสได้ถึงความชิลและเป็นมิตรของคนฟุกุโอกะเลยค่ะ และเมื่อมาถึงฟุกุโอกะแล้ว ต้องไม่พลาดชิม ฮากาะตะราเมง (Hakata Ramen) ราเมงสูตรท้องถิ่นต้นตำหรับฟุกุโอะ กับเส้นและน้ำซุปต้มกระดูกหมูที่ผ่านการเคี่ยวมาอย่างยาวนาน จนได้รสชาติเข้มข้น ไม่ว่าใครที่ได้ลิ้มลองรสชาติต่างต้องติดใจกันทุกรายค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  ฟุกุโอกะ สามารถไปเที่ยวตลอดทั้งปี ค่ะ แต่จะมีช่วงไฮไลท์ของฟุกุโอะ ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปชม อุโมงค์สีม่วงของดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ที่จะเบ่งบานเพียงช่วงเวลาสั้นในฤดูร้อนเท่านั้นค่ะ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน -  ปลายเดือนพฤษภาคม ทัวร์ครับบอกเลยว่าห้ามพลาด! 8.นารา (Nara)      เมืองนารา (Nara) หรือเมืองแห่งกวาง  เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็จะได้พบเจอกับเหล่าน้องกวางหน้าตาน่ารัก และเป็นมิตรกับผู้คน ซึ่งนอกจากเหล่าน้องกวางสุดน่ารักที่จะมาคอยอ้อนขอขนมแซมเบ้กินจากเราแล้ว นารายังเป็นเมืองแหล่งกำเนิดของขนบธรรมเนียมสำคัญๆของชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นที่ตั้งของ พระพุทธรูปไดบุทสึ (Daibutsuden) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และ วัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple) วัดที่ก่อสร้างด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับ วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดที่มีความเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารานั่นเองค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  สำหรับการมาเที่ยวนารานั้น เราสามารถมา เที่ยวได้ตลอดปี ค่ะ แต่หากใครอยากจะมาชมความสวยงามของดอกซากุระ พร้อมเหล่าน้องกวาง ก็ต้องมาช่วงกลางเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิของนารา หรือจะเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือฤดูใบไม้ร่วงของนาราที่จะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม  -  เดือนพฤศจิกายน ทัวร์ครับบอกเลยว่าสวยไม้แพ้เมืองอื่นๆของญี่ปุ่นเลยค่ะ  9. คารุอิซาว่า (Karuizawa)       สำหรับเมืองญี่ปุ่นลำดับที่ 9 นี้ ทัวร์ครับจะพาทุกคนเข้าป่ากันไปพักผ่อนในเมืองพักผ่อนสุดฮิตของคนญี่ปุ่น เมืองนี้ถือป็น สวรรค์ของคนรักป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน ภูเขา เมืองคารุอิซาว่า แห่งนี้มีให้ครบทุกรุปแบบค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงสำหรับคนที่อยากจะชมทั้งธรรมชาติและช้อปปิ้งในทริปเที่ยวญี่ปุ่นทริปเดียว เพราะเขตช้อปปิ้งคารุอิซาวะกินซ่า (Karuizawa Ginza) นั้นเป็นแหล่งช้อปปิ้งแสนครบครันที่จะให้คุณเพลิดเพลินได้ตลอดวัน จนกระเป๋าตังค์เบากันแบบไม่รู้ตัวได้ค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวคารุอิซาว่าก็คือ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนกลางปี (เดือน)ซึ่งเราเราจะเห็นภาพของสีเขียวขจีจากธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นสุดๆเลยค่ะ 10.ฮาคุบะ (Hakuba)       เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) นี้ อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ที่ เมืองฮาคุบะ แห่งนี้ ถือเป็น แหล่งสกีอันลือชื่อของประเทศญี่ปุ่น เลยล่ะค่ะ ซึ่งเมืองอาคุบะนี้ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาชื่อเดียวกับเมือง เราสามารถเปรียบภูเขาลูกนี้ได้กับเทือกเขาแอลป์ (Alps) ของญี่ปุ่น ฮาคุบะจึงกลายเป็นแหล่งสกียอดนิยมของชาวญี่ปุ่น และนักเล่นสกีจากทั่วโลก นอกจากสกีแล้ว เมืองฮาคุบะยังมีชื่อเสียงในเรื่องของ น้ำพุร้อนออนเซ็น (Onsen) ยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ เรียกได้ว่าครบสูตรเมืองพักผ่อนกันเลยทีเดียว ไปเที่ยวช่วงไหนดี : เมืองฮาคุบะนั้นเเหมาะแก่การไปเที่ยวในช่วง ฤดูหนาว ค่ะ (เดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์) เพราะเป็น แหล่งสกีชั้นดีของญี่ปุ่น หรือหากใครอยากจะเปลี่ยนสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี (เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน) เมืองฮาคุบะก็เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ 

อ่านเพิ่มเติม
กินหรูปูอร่อย! ตะลอนกิน 5 ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ที่ญี่ปุ่น
กินหรูปูอร่อย! ตะลอนกิน 5 ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ที่ญี่ปุ่น

03 ธ.ค. 61

เดี๋ยวทัวร์ครับจะพาไปดู 5 ร้านบุฟเฟ่ต์ ที่บอกเลยว่า คุ้มค่าคุ้มราคาที่จ่าย แถมยังฟินสุดๆ ด้วยล่ะ 1. Luxe Dining Hapuna Tokyo cr. jw web magazine cr.wongnai.com ร้านอาหารสุดหรู บนโรงแรม Shinakawa Prince Hotel ที่นี่มีไลน์อาหารให้เลือกทานหลากหลายเลยล่ะครับ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นที่หมายปองของเหล่านักท่องเที่ยว ก็คงหนีไม่พ้นเจ้า ‘ขาปูยักษ์’ นั่นเอง ทำให้ที่นี่ต้องเสิร์ฟขาปูถึงวันละ 350 กิโลกรัมต่อวัน เพื่อให้เพียงพอกับลูกค้าทุกคนเลยนะครับ แต่บอกก่อนว่าที่นี่คิวเต็มไวมาก ใครอยากลิ้มลองแนะนำว่าให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ครับ ราคา : มื้อกลางวัน ผู้ใหญ่ 3,800 เยน เด็ก 2,800 เยน / มื้อเย็น ผู้ใหญ่ 6,000 เยน เด็ก 3,800 เยน การเดินทาง : เดินออกจากสถานีรถไฟ Shinagawa ทาง Tanakawa Exit (west exit) ข้ามทางม้าลายเดินต่อประมาณ 5 นาที 2. Tokyo Station Buffet cr.pantip.com อยากเดินทางง่ายๆ ต้องร้านนี้เลย เพราะตั้งอยู่บนชั้น 12 ของ ห้าง Daimaru ณ สถานี Tokyo นั่นเอง ถึงแม้ว่าขาปูยักษ์ของที่นี่จะมีขนาดกลางๆ แต่รับรองว่าสดหวานไม่แพ้ใครเลยล่ะครับ และนอกจากขาปูแล้ว อาหารญี่ปุ่น หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็มีให้เลือกสรรเต็มไลน์บุฟเฟ่ต์ไปหมด ฟินไปอีกมื้อ ราคา : มื้อกลางวัน จำกัดเวลาที่ 90 นาที ราคา 1,890 เยน / มื้อเย็น จำกัดเวลาที่ 120 นาที ราคา 2,730 เยน 3. Prince Viking cr.japanwow ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในหมู่ชาวญี่ปุ่นเองด้วย ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น B2 ใน โรงแรม Shinjuku Prince Hotel  สิ่งที่พิเศษสุดๆ ของห้องอาหารแห่งนี้ นอกจากขาปูยักษ์แล้ว ยังมีไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ทางโรงแรมจะผลัดเปลี่ยนอาหารทุกๆ 2 เดือน เพื่อไม่ให้จำเจด้วยล่ะ ราคา : มื้อกลางวัน จำกัดเวลาที่ 90 นาที ราคา 3,800 เยน / มื้อเย็น จำกัดเวลาที่ 120 นาที ราคา 6,000 เยน การเดินทาง : อยู่ติดกับสถานี Seibu Shinjuku Station ดูแผนที่  http://www.princehotels.com/en/shinjuku/map-direction 4. Kani Doraku ข้ามฟากมาที่ฝั่งโอซาก้ากันบ้าง ใครผ่านไปที่ ย่าน Dotonburi จะต้องสะดุดตากับร้านที่มีเจ้าปูยักษ์เกาะอยู่แน่นอน และถ้าหากเจอแปลว่ามาถูกแล้วววว เพราะที่นี่คือร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมากๆ ซึ่งเมนูของที่นี่จะมีส่วนผสมของปูทั้งนั้นเลย และถึงแม้จะไม่ได้ขายแบบบุฟเฟ่ต์ แต่ก็สามารถเลือกได้ครับว่าจะรับประทานเป็นอาหารจานเดียว หรือจะรับประทานแบบคอร์สปูให้หนำใจ ราคา : คอร์สปู เริ่มต้นที่ 5,184 เยน 5. Nanda cr.komachijp.com ปิดท้ายกันแบบกระโดดจากใต้มาที่เหนือ เพราะร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Sapporo นั่นเอง ใครที่ชอบกินปูจะต้องฟินมากแน่ๆ เพราะที่นี่มีปูให้เลือกถึง 3 สายพันธุ์เลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นปูขน ปูสึไว หรือปูทาราบะ และทีเด็ดคืออะไรรู้มั้ยครับ ? ที่นี่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทยให้ด้วย !!! เป็นการยืนยันว่านักท่องเที่ยวไทยไปกินขาปูที่นี่เยอะจริงๆ ราคา : มื้อกลางวัน จำกัดเวลาที่ 70 นาที ราคา 3,700 เยน / มื้อเย็น จำกัดเวลาที่ 100 นาที ราคา 4,780 เยน (ราคายังไม่รวมภาษี) สถานที่ตั้งร้าน : อาคาร Ciber City ชั้น B2 Susukino, Sapporo, Hokkaido การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Toho Line ลงสถานี Hosuisusukino แล้วเดินต่อจากสถานีมาอีกประมาณ 2 นาที อ่านจบแล้วหิวเลยใช่ไหมล่ะครับ? เพราะฉะนั้นหากใครมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น ห้ามพลาดที่จะไปลิ้มรส ‘ขาปูยักษ์’ ถึงถิ่นดูสักครั้งนะครับ รับรองว่าติดใจแน่นอน และสำหรับทัวร์ญี่ปุ่นของทัวร์ครับนั้นก็มีพาลูกทัวร์ไปลิ้มลองบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์กันด้วยนะครับ   หากใครที่สนใจไปทัวร์ญี่ปุ่น กินขาปูยักษ์ >> จองได้ที่นี่เลย  

อ่านเพิ่มเติม