All articles abouts แหล่งช้อปปิ้งญี่ปุ่น

เที่ยวฟินถิ่นโอซาก้า-เกียวโต ! เที่ยวครบเก็บหมดทุกแลนด์มาร์ก

เที่ยวฟินถิ่นโอซาก้า-เกียวโต ! เที่ยวครบเก็บหมดทุกแลนด์มาร์ก

05 พ.ย. 61

วันนี้ ‘ทัวร์ครับ’ เลยใจดี จัดแพลนแบบฟินๆ เรียกได้ว่าเก็บหมดครบทุกแลนด์มาร์กในโอซาก้า มาให้ทุกคนได้ตามรอยกัน บอกเลยนอกจากโอซาก้าแล้วอาจจะมีเมืองใกล้เคียงอย่างเกียวโต ปะปนมาบ้างเนื่องจากว่าสถานที่เที่ยวไม่ค่อยไกลกันมาก ทัวร์ครับรับรองว่าทริปเที่ยวโอซาก้านี้ มีแต่ความท รงจำดีๆกลับไป อย่างแน่นอน เที่ยวโอซาก้า เกียวโต : Day 1 เริ่มต้นวันแรกกันเลย กับแลนด์มาร์กที่แรกที่ทุกๆ คนต้องไปกัน นั่นก็คือที่ วัดชิเทนโนจิ วัดเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินชมสวนสวยหลากหลายฤดู กับบรรยากาศสบายๆ ทั้งยังมีร้านชิลๆ หลายร้านให้ได้นั่งพักเหนื่อยกันด้วยล่ะครับ เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ ดื่มด่ำบรรยากาศใช้เวลาช่วงเช้าไปเรื่อยๆ ก็เพลินดีเหมือนกันครับ พิกัด : Shitennoji Temple หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ เราขอชวนทุกคนไปต่อกันที่ ตึก Umeda Sky เพื่อชมวิวเมืองโอซาก้าแบบ 360 องศากันไปเลย และปิดท้ายวันด้วยการไปจบที่ 🍢 ย่านโดทงโบริ เดินสำรวจแฟชั่น และของต่างๆ ใครอดใจไม่ไหวจะช้อปปิ้งก่อนก็ได้ แต่ทัวร์ครับขอแนะนำให้เดินเซอร์เวย์เฉยๆ ก่อนดีกว่า จะได้เที่ยวได้ทั่วโดทงโบริและได้เก็บภาพบรรยากาศไปด้วยครับ พิกัด : Dotonbori เที่ยวโอซาก้า เกียวโต : Day 2 วันนี้จะพาไปชมจุดที่สวยที่สุดของโอซาก้ากัน นั่นก็คือที่ 🏯ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) นั่นเอง เราสามารถเดินเล่น ถ่ายรูป และนั่งชมนกชมไม้เพลินๆ ได้ค่อนวัน ก่อนจะไปต่อกับการดูฉลามวาฬที่ 🐋 Osaka Aquarium กัน แค่สองที่นี้ก็ให้เต็มที่ทั้งวันเลยครับ    เที่ยวโอซาก้า เกียวโต : Day 3 ขอยกเวลาทั้งวันให้กับ Universal Studio Japan 🎡ครับ บอกเลยว่าอยู่ที่ USJ ทั้งวันก็หมดวันจนไปที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะครับ บางคนที่ชอบมากๆ เผลอๆ เวลาไม่พอด้วย เพราะนอกจากจะอินไปกับบรรยากาศแล้ว ก็ต้องเผื่อเวลาต่อแถวเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ด้วยนะครับ พิกัด : Universal Studio Japan เที่ยวโอซาก้า เกียวโต : Day 4 วันนี้ทัวร์ครับจะออกไปเที่ยวที่เกียวโตกันแต่ก่อนอื่นแนะนำว่าให้ไปหาของอร่อยทานที่ ย่านShinsaibashi ก่อน ที่นี่มีร้านอาหารมากมาย รวมถึงคาเฟ่เก๋ๆ รอต้อนรับทุกคนอยู่ด้วย เมื่อท้องตึงแล้วเราก็ออกเดินทางไปยังเกียวโตกันเลย กว่าจะถึงก็ช่วงบ่ายแก่ๆ เลยขอแนะนำให้ตรงที่ วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง (Kinkakuji Temple) ก่อนเลยครับ บรรยากาศในตอนเย็นย่ำ เดินเล่นเพลินๆรอบทะเลสาบ แถมได้ถ่ายรูปสวยๆ กับวัดคินคะคุจิ อีกด้วย เที่ยวโอซาก้า เกียวโต : Day 5 หากใครที่มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีละก็ วันที่ 5 นี้จะเป็นวันที่เราได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอย่างจุใจ ในจุดที่เรียกได้ว่า เป็นแลนด์มาร์กแห่งการชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ๆเราพูดถึงก็คือ วัดคิโยมิสุหรือวัดน้ำใส นั่นเองครับ บอกเลยว่าชาร์จแบตกล้องมาให้พร้อม เตรียมท่าสวยๆ มาให้ดี เพราะลั่นชัตเตอร์กันสนุกสนานแน่นอน แต่บางจุดยังไม่เปิดให้ขึ้นไปชม เพราะอยู่ในช่วงซ่อมแซมปรับปรุงอยู่  พิกัด : Kiyomizu Temple พอตกบ่าย เราก็มูฟตัวเองไปอีกจุดแลนด์มาร์กของเกียวโตอย่าง ⛩ ศาลเจ้าฟูจิมิอินาริหรือศาลจิ้งจอก (Fushimi Inari Shrine) ที่มีเสาสีแดงเรียงรายอยู่นั่นเองครับ วันนี้ ทัวร์ครับแนะนำใส่เสื้อผ้าเป็นโทนสีเหลือง ครีม หรือขาว เพราะจะตัดกับฉากหลังสีแดงทั้งจากใบไม้ และจากเสาที่ศาลเจ้าได้สวยมากๆ เลยล่ะครับ เที่ยวโอซาก้า : Day 6 ตลาดนิชิกิ  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเกียวโต ห่างจากโอซาก้านิดเดียว ที่แห่งนี้มีตั้งแต่อาหารหลากหลายมาก เยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นของกินเล่น อาหารแบบดั้งเดิมไปจนถึงอาหารแปลกๆ และนอกจากอาหาร มาเยือนถึงเกียวโตทั้งที จะพลาดครัวของเกียวโตอย่าง 🦀 ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market )🍣  ไปได้ยังไงล่ะจริงไหมครับ ฝากท้องมื้อเช้าไว้ที่นี่ ก่อนจะไปต่อกันที่ ป่าไผ่ ณ เมืองอาราชิยาม่า 🎋ที่ห่างจากเกียวโตไปนิดเดียวเท่านั้น ไปเยี่ยมชมเมืองชนบทที่มีความโรแมนติกมากๆ และช่วงเย็นก็นั่งรถไฟกลับไปที่โอซาก้ากันครับ พิกัด : Nishiki Market เที่ยวโอซาก้า : Day 7 วันสุดท้ายของทริปแล้ว แนะนำว่าควรกลับไฟล์ทดึกเท่าที่จะทำได้เพื่อการเที่ยวอย่างเต็มวัน ตื่นเช้าหน่อยวันนี้ ไปเก็บตกสถานที่ๆชอบอีกสักรอบ และทุ่มเทเวลาให้กับการช้อปปิ้งไปเลย แต่อย่าไปไกลกันมากนะครับ เดี๋ยวกลับไม่ทัน แล้วอย่าลืมไปสนามบินให้ทันเวลาด้วยนะครับ   และนี่ก็เป็นแพลนโอซาก้า เกียวโต แบบคร่าวๆ 7 วัน 6 คืน สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวโอซาก้า บอกเลยว่าตามแพลนที่เราจัดให้ไป เก็บครบหมดทุกแลนด์มาร์กแน่นอนครับ ทัวร์โอซาก้า เกียวโต คลิกเลย!! แต่ถ้าหากใครกลัวทำไม่ได้ตามแพลนแล้วจะพลาดไป ‘ทัวร์ครับ’ มีอีกหนึ่งทางเลือกมาแนะนำ นั่นก็คือการไปทัวร์กับเรานั่นเอง >< บอกเลยว่าทุกแลนด์มาร์กเราจัดให้แบบไม่มีพลาด แถมยังสะดวกสบายมากๆ ด้วยครับ   อ่านต่อ : 15 ขนมญี่ปุ่นต้องซื้อ ของฝากญี่ปุ่นที่ใครๆก็ชอบ!     

อ่านเพิ่มเติม
พาไปชม “Nabana No Sato Winter Light Illumination” งานประดับไฟยิ่งใหญ่ระดับโลก!
พาไปชม “Nabana No Sato Winter Light Illumination” งานประดับไฟยิ่งใหญ่ระดับโลก!

26 พ.ย. 61

สำหรับ 🎆 Nabana No Sato Winter Illumination 🎇 ถือได้ว่าเป็นเทศกาลไฟประดับที่โด่งดังไปทั่วโลก ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนตั้งใจมาเที่ยวญี่ปุ่นเพื่องานนี้เลยครับ ซึ่งจะจัดขึ้นที่ธีมพาร์คสวนดอกไม้ใน Nagashima Resort เมืองคุวานะ ของจังหวัดมิเอะ ในภูมิภาคคันไซ แต่จะสะดวกกว่าถ้าหากเดินทางมาจากนาโกย่าครับ โดยสำหรับปี 2018 - 2019 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – พฤษภาคม ยาวๆ กันไปเลย มาๆ ก่อนอื่นต้องขอป้ายยา รีวิวกันแบบจัดหนักก่อน ใครลังเลอยู่จะได้รีบกดจองตั๋วให้ไว : ) cr.pantip.com/topic/36927733 เริ่มจากการเดินทาง ขอบอกว่าง่ายมากๆ ง่ายสุดๆ ไปเลย เพราะสามารถ Take Bus จาก Meitetsu Bus Center ที่นาโกย่า ต่อเดียวถึง เดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงเอง สะดวกสุดๆ ไม่ต้องต่อรถให้วุ่นวาย นั่งชมวิวเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้วล่ะ รถจะจอดที่หน้ารีสอร์ทเลยครับ ไม่ต้องกลัวหลงนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ Nabana No Sato Winter Light Illumination นั่นเอง เห็นมั้ยบอกแล้วว่าสะดวกฝุดๆหรือถ้าซื้อทัวร์มากับทัวร์ครับแล้วล่ะก็มีรถรับส่งสบาย  พิกัด : Nabana No Sato Winter Light Illumination cr.pantip.com/topic/36927733 พอไปถึงที่หน้ารีสอร์ท ก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมกันเล้ยยย ราคาค่าเข้าคนละ 2,300 เยน แต่มีคูปองสำหรับซื้อขนม อาหาร หรือของฝากภายในงานให้ด้วย 2 ใบ ใบละ 500 เยนครับ หักลบออกมาแล้วก็ไม่แพงเลยนะครับ และยิ่งไปกว่านั้น เราขอแนะนำให้มาถึงช่วงประมาณ 4 โมงเย็น เพื่อเดินชมและถ่ายรูปกับเจ้าดอกไม้สวยๆ กันก่อน ส่วนเวลาเปิดไฟของงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination ก็จะประมาณ 6 โมงกว่าๆ มาทีเดียวควบ 2 ไปเลย คุ้มมว๊ากกก นอกจากสวนดอกไม้สดใสสวยงามแล้ว ทัศนียภาพของรีสอร์ทแห่งนี้ก็สวยไม่แพ้กันนะครับ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก เตรียมแบตกล้องไปให้พอล่ะ แล้วก็มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย หากเดินชมสวนจนเหนื่อยแล้วมานั่งทานมื้อเย็น พักก่อนจะไปลุยดูไฟตอนกลางคืนกันต่อก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันนะ ราคาอาหารก็ไม่แพงเลย พันกว่าเยนเท่านั้น!! สามารถใช้คูปองที่ได้มาตอนซื้อบัตรจ่ายแทนเงินสดแล้ว Top Up เพิ่มเข้าไปได้เลย สุดยอดไปเลยครับ และแล้วก็ถึงเวลาค่ำที่เรารอคอย ไฟมาแล้วฮะ บอกเลยว่าสวยมากกกก!! พูดคำว่า สวย สวย สวย ทุกย่างก้าวที่เดิน เพราะมันสวยจริงๆ ครับ มีการประดับไฟเป็นรูปต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟฟูจิ แม่น้ำ ทุ่งหญ้า ต้นคริสมาสต์ และอีกหลากหลายเรื่องราวสลับกันไป พร้อมกับดนตรีบรรเลงคลอไปด้วยกัน โรแมนติกสุดๆ อากาศเย็นๆ เดินจับมือแฟน ซุกมือไว้ในกระเป๋าของเสื้อโค้ท โอ๊ยยย พระเอกนางเอกซีรี่ย์มาเองเลยนะเนี่ย (แอบกระซิบสาวๆ ว่า ใครที่คบหาดูใจกันมาถึงขั้นวางแผนอนาคตร่วมกัน อย่าลืมแต่งตัวสวยๆ เผื่อคุณผู้ชายจะคุกเข่าเซอร์ไพร์เราก็เป็นได้นะครับ อิอิ มาถึงจุดพีค ที่เป็นไฮไลท์ของงานกัน แอบต้องแย่งชิงพื้นที่นิสนุง เพราะทุกคนต่างมะรุมมะตุ้มที่นี่ แนะนำให้ใจเย็นๆ แล้วจะได้รูปสวยๆ นะจ๊ะ จุดที่ว่าก็คือ Tunnel of Light หรืออุโมงค์ไฟความยาวกว่า 200 เมตร นั่นเอง มันสวยมว๊ากกก อลังการดาวล้านดวงสุดๆ เลยล่ะ ตลอดเส้นทางก็จะถูกประดับด้วยไฟเล็กๆ กุ๊กกิ๊กปุ๊กปิ๊ก น่ารักสุดๆ จนลั่นชัตเตอร์แทบไม่ทัน และในแต่ละปีก็จะมี Theme ที่แตกต่างกันไปด้วยนะครับ หากใครอยากชมงานแบบ 360 องศา บนความสูงกว่า 45 เมตร เราแนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 500 เยน เพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอยที่มีชื่อว่า Island Fuji  ขอบอกว่านอกจากจะสูงและเสียวแล้ว ยังสวยมากๆ อีกด้วย เพราะเราจะได้มองเห็นวิวของ Nabana No Sato Winter Light Illumination แบบรอบด้าน ประหนึ่งว่ากำลังดูทะเลดาวอยู่เลยล่ะ รอคิวนิดนึงแต่แลกกับความสวยงามตื่นตาตื่นใจ และทำให้การเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม เราว่าคุ้มมากๆ เลยนะครับ เมื่อเราเดินชมงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination จนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลากลับกันแล้วล่ะ เราขอแนะนำว่าให้ออกก่อนงานปิดประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแย่งกันขึ้นบัส คนเยอะจะรอนานครับ และที่สำคัญ ควรเช็ครอบรถบัสก่อนนะครับ จะได้วางแผนและกะเวลาให้ถูก ส่วนจุดขึ้นรถบัสก็คึอที่หน้ารีสอร์ท จุดเดียวกับตอนขามาเลยครับ นั่งครึ่งชั่วโมง ถึงนาโกย่าอย่างปลอดภัย ย้ำกันอีกที สำหรับงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination ในปี 2018 - 2019 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2018 – 6 พฤษภาคม 2019 นะครับ เพราะฉะนั้นหากใครอยากไปดูไฟประดับ และเที่ยวญี่ปุ่นแบบสัมผัสอากาศหนาวไปด้วย ช่วงปลายปีนี้กำลังเหมาะสมสุดๆ หรือใครอยากได้แค่อากาศดีๆ ไม่ต้องหนาวมาก แถมหากดวงดีก็อาจจะได้เห็นซากุระด้วย แนะนำหลบร้อนจากเมืองไทยเราไปเที่ยวในช่วงเดือนเมษายน - เดือนพฤษภาคม ปีหน้าก็ดีเหมือนกันครับ บอกเลยว่ามันสวยจริงๆ และอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้งนะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน : ) สามารถดูทัวร์ญี่ปุ่น ได้ที่นี่เลย คลิก!! อ่านต่อ : หนาวนี้ห้ามพลาด เที่ยว “Sapporo Snow Festival” เทศกาลหิมะซัปโปโร  

อ่านเพิ่มเติม
TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !!
TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !!

24 ธ.ค. 61

ฮั่นแน่... อยากรู้กันแล้วใช่ไหมครับ ว่าจะสนุกสนาน น่าประทับใจขนาดไหน ตามมาเลยคร๊าบบ… สวัสดีชาวทัวร์ครับทุกคนครับ ก่อนเราจะไปเริ่มต้นทริปทัวร์โตเกียวของเรากันนั้น มาฟังจุดเริ่มต้นของทริปทัวร์โตเกียวนี้กันเลยดีกว่า เราบอกได้เลยว่าริทปนี้นั้นเกิดขึ้นแบบงงๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผมเคลียร์งานเสร็จหมดแล้ว ก็เลยพักผ่อนอยู่บ้านชิวๆ แต่ด้วยความเบื่อก็เลยลองหาทัวร์โตเกียวราคาไม่แพงดูไปพลางๆ ก็ได้เจอกับทัวร์โตเกียวราคาโดนใจ เพียงพอกับงบในกระเป๋าน้อยๆของเรา จึงไม่รอช้า รีบจองเลยซิคร๊าบบ...ในที่สุดก็จะได้ไปเยือนดินแดนในฝันที่ใครก็อยากมาสัมผัสซักครั้ง ตื่นเต้นสุดๆไปเลย! และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง ซึ่งของจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ - หนังสือเดินทาง หรือ พาสสปอต (สำคัญมาก!) - เงินเยน (YEN) & บัตรเครดิต (เราเลือกที่จะแลกที่สนามบินชั้นใต้ดิน เพราะสะดวกสุดๆ) - Sim 2 fly (Sim โรมมิ่งสุดฮิต ขาประจำ) - หัวปลั๊ก Universal Adapter (ซื้อครั้งเดียวคุ้ม! ปลั๊กเดียวใช้ทั่วโลก) ทัวร์โตเกียว DAY 1 : วันแรก และความดีของการไปกับทัวร์ญี่ปุ่น เราก็จะได้รับใบนัดหมายก่อนเดินทาง ซึ่งจะบอกรายละเอียดการเดิน สถานที่นัดหมายก่อนเดินทางเพื่อไปเช็คอิน และเราควรมาถึงสนามบินก่อนเวลานัดหมายสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางนั่นเองครับ หลังจากเช็คอินพร้อมโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เวลาเหินฟ้าสู่ญี่ปุ่น ด้วย สายการบิน Nok Scoot กรุงเทพ – นาริตะ ซึ่งครั้งนี้เราได้นั้งเครื่อง Boeing 777-200 (บนเครื่องมีบริการอาหารนะครับ แต่ต้องเสียตังค์เพิ่มเองครับ ) ที่นั่งแบบ 3-3-3 ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง  นั่งสบายๆ หลับกันไปยาวๆ เก็บแรงไว้เที่ยวกันให้เต็มที่พรุ่งนี้ครับ   ทัวร์โตเกียว DAY 2 : วันที่ 2 เข้าสู่วันที่ 2 แล้ว ซึ่งเราก็ยังคงอยู่บนเครื่องเหมือนเดิมครับ 5555 เพิ่มเติมคือง่วงและเมื่อยมาก แต่พอได้มองออกไปนอกหน้าต่าง ความเหนื่อยล้าก็พลันหายไป เมื่อเห็นท้องฟ้าสีครามกับเมฆขาวปุกปุย ซึ่งพี่ไกด์ก็แนะนำให้ไปเพิ่มความสดชื่นด้วยการล้างหน้าแปรงฟันสักหน่อย เพราะอีกไม่กี่อึดใจ เราก็ถึง “สนามบินนาริตะ” ประเทศ ญี่ปุ่น กันแล้วจ้าา...ซึ่งเวลาที่ประเทศ ญี่ปุ่น จะเร็วกว่าที่ไทย 2 ชม. นะครับ ดังนั้นอย่าลืมตั้งเวลาใหม่กันด้วยนะครับ หลังจากไกด์พาเราผ่าน ตม.ญี่ปุ่น มาแล้ว (ไม่ต้องกลัว ตม.นะครับ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น คอนเฟิร์ม) ซึ่งไกด์ก็จะยืนคอยลูกทัวร์เพื่อคอยแจ้งจุดรับกระเป๋า รวมถึงจุดนัดพบ  หลังจากกระเป๋าแล้ว เราก็เดินไปที่จุดรวมตัวที่ไกด์นัดไว้ โดยพี่ไกด์ก็จะให้แอดไลน์ไว้ หากมีปัญหาอะไร สามารถติดต่อพี่ไกด์ผ่านไลน์ได้เลยนะคร้าบ หลังจากขึ้นบัส นั่งกันเรียบร้อย ไกด์แจกข้าวกล่อง กับ น้ำดื่มให้คนละชุด พร้อมกับอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งความเหนื่อยทำให้หลับแบบไม่ได้ฟังพี่ไกด์เลย (ขอโทษด้วยครับ มันง่วงจริงๆ) พิกัด : Asakusa เมื่อร่างกายได้กินอิ่มนอนหลับ ก็เหมือนได้ชาร์จพลังกลับมาเต็มร้อย พร้อมลุย! ไม่นานเราก็มาถึงที่เที่ยวแรกของเรา นั้นก็คือ วัดอาซากุสะ (Asakusa) วัดเก่าแก่ที่ใจกลางมหานครโตเกียว มีความศักดิ์สิทธิ์และผู้คนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก จุดเด่นของวัดนี้ที่ใครๆมาเป็นต้องถ่ายรูปกันทุกคน นั้นก็คือ โคมไฟยักษ์สีแดง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยทางเดินตลอดสองข้างทางนั้น ยังเต็มไปด้วยร้านขายขนม และของที่ระลึกยาวตลอดเส้น เห็นแล้วชวนให้คิดถึงงานวัดบ้านเราเหมือนกันนะครับเนี่ย ^^ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นฤดูร้อนของญี่ปุ่น ขอบอกเลยว่า อากาศร้อนใช้ได้เลยครับ คือสามารถแต่งตัวเหมือนไทยได้เลยครับ 55555 พิกัด : Gotemba Premium Outlets เริ่มต้นทริปทัวร์ญี่ปุ่นด้วยการไหว้พระขอพรกันแล้ว ช่วงบ่ายเราก็ไปช้อปปิ้งกันต่อที่ โกเท็นบะ แฟคทอรี่ เอ้าท์เล็ต (Gotemba Premium Outlets) แหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อของโตเกียวซึ่งเต็มด้วยแบรนด์เนมชั่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ รวมไปถึงยังมีร้านอาหารขึ้นชื่อมากมายให้เราได้ลิ้มลองอีกด้วย แต่จุดเด่นจริงๆของเอ้าท์เล็ตแห่งนี้ ไม่ใช่แค่ของช้อปแบบจุใจเท่านั้น แต่เป็นวิวธรรมชาติโดยรอบต่างหากครับ เพราะที่นี่นั้นตั้งอยู่บนภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกหลังภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามที่สุดแห่งนึงอีกด้วย หลังจากเดินเล่นชมวิวกันมาพักใหญ่ ท้องมันก็เริ่มหิว ซึ่งอาหารเย็นวันนี้เป็นแบบฟรีสไตล์ สามารถเลือกทานกันเองได้ตามใจ เราก็เลยหาของกินในโซน Foodland ซึ่งภาพในนั้น มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ทั้ง สเต็ก ราเมน อุด้ง ข้าวหน้าแกงกะหรี่ และของหวานนาๆชนิด ด้วยความที่เราเป็นคนชอบทานแกงกะหรี่อยู่แล้ว จะพลาดได้อย่างไรละ ของมันต้องลอง!!! หลังจาาอิ่มท้อง ก็ได้เวลาเดินทางไปที่ โรงแรม Hotel MIFUJI อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ฝั่งทะเลสาบยามานากะ เป็นโรงแรมเล็กๆสไตล์ญี่ปุ่น ที่เงียบสงบมาก บรรยากาศรอบๆที่พักเป็นทุงนาและภูเขา อากาศเย็นสบายแม้อยู่ในฤดูร้อน เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นที่สุดเลยครับ ส่วนห้องพักนั้น มีให้เราเลือกหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดา และสวีท โดยห้องที่ผมพักในคืนนี้นั้น ทางโรมแรมการันตีว่าเป็น ห้องที่วิวดีที่สุดของโรมแรมแห่งนี้เลย เพราะเป็นห้องเดียวที่เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มๆตา แทบจะอดใจรอชมไม่ไหวแล้วว!!! สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักนั้น มีครบทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเปน แอร์ ฮีทเตอร์ ทีวี ตู้เย็น ไดท์เป่าผม wifi ขาดแค่อย่างเดียวคือไม่มีที่อาบน้ำ แต่ไม่ต้องตกใจนะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้านิยมแช่ออนเซ็นมาก ซึ่งทางโรงแรมเค้าก็มีออนเซ็นให้ ดังนั้น ห้องพักที่เป็นห้องสวีทจึงไม่มีที่อาบน้ำให้นะจ้ะ ต้องไปอาบในออนเซ็นแทน(แต่ห้องแบบปกติมีนะ) โดยทางโรงแรมจะมีการเตรียมชุด ยูกาตะ ไว้ให้แขกทุกท่านสำหรับการแช่ออนเซ็น ใครอยากรู้ว่าออนเซ็นของจริงเป็นยังไง ต้องลองมาด้วยตัวเองนะคร้าบบ อิอิ รับรองเลยว่าจะติดใจแน่นอนครับ หลังจากแช่ออนเซ็นจนสุก... เอ้ย สุขสบายทั้งตัวแแล้ว ก็ได้เวลากิน อีกแล้ว ซึ่งอาหารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ เป็นอาหารเรียบง่ายสไตล์ท้องถิ่นแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น อย่างเช่น โมจิชาเขียว ซุปมิโซะ ไก่อบข้าว และอื่นๆอีกมากมาย แต่ของเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ ขาปูยักษ์ และที่เด็ดกว่านั้นคือ กินเท่าไหร่ก็ได้ไม่อั้น!! โอย..สวรรค์โดยแท้จริงๆครับ หลังจากที่จัดการขาปูยักษ์ไปครึ่งโล กับอาหารแสนอร่อย แล้วยกเบียร์อีก1กระป๋อง ในที่สุดก็ได้นอนตาหลับซักที 5555 นี่ขนาดแค่เที่ยววันแรกยังรู้สึกคุ้มขนาดนี้ แล้ววันพรุ่งนี้จะคุ้มขนาดไหนกันนะ ต้องรอชมกัน.. ทัวร์โตเกียว DAY 3 : วันที่ 3 และแล้วเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นตอนตี 4 (ตี 4 ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มสว่างแล้วครับ) ผมรีบลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วมองออกไปนอกห้องก็ได้เห็นคุณฟูจิซังออกมาทักทาย สมแล้วจริงๆครับที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องวิวดีที่สุดของโรงแรม ชมวิวจนอิ่มใจแล้ว ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ลงไปเติมพลังรับวันใหม่    โดยอาหารเช้าวันนี้ ก็เป็นอาหารเช้าง่ายๆสไตล์ญี่ปุ่น แต่ความเด็ดดวงอยู่ที่ ทาโกะยากิเข้มข้น และโมจิหอมกลิ่นชาเขียว และซุปมิโซะกลมกล่อม โออิชิมากๆ ของแท้มันดีแบบนี้นี่เอง!! พิกัด : Oshino Hakkai Village เติมพลังกันแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยัง โฮชิโนะฮักไค หรือที่คนไทยเรียกกันว่ หมู่บ้านน้ำใส เพราะบริเวณหมู่บ้านน้ำผุด ซึ่งเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนภูเขาฟูจิไหลซึมผ่านชั้นหิน จึงทำให้น้ำที่นี่มีความใสสะอาดสุด (ว่ากันว่าสามารถดื่มได้เลยครับ) อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ 10 ถึง 12 องศา แถมยังเต็มไปด้วยฝูงปลาน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ในลำธารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดเป็นความสวยงาม มีเอกลักษณ์ที่แปลกและไม่เหมือนใครเลยครับ ภายในหมู่บ้าน ยังมีการจำหน่ายสินค้า OTOP ของที่นี่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ น้ำแร่ โมจิ ขนมหวาน และเราก็ไม่พลาดที่จะลอง ไอศกรีมชาเขียว ของขึ้นชื่อของที่นี่กัน อื้มมม~ ฟินสุดๆไปเลยครับ!! พิกัด : Kawaguchiko ต่อจากหมู่บ้านน้ำใส เราก็ไปกันที่ ทะเลสาบคาวากูชิโกะ เป็น 1 ใน 5 ทะเลสาบที่โอบล้อมอยู่รอบๆภูเขาไฟฟูจิ สันนิฐานว่าเกิดจากการละลายของน้ำแข็งในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พิกัด : Fuji Mountain นับว่าเป็นทะเลสาบที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยครับ และก็ตรงกับเวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาอาหารกลางวันของเราพอดี เมนูวันนี้เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบเซต มีทั้ง ชาบู อุด้ง หมูหมักซอส ผักดอง และข้าวสวยร้อนๆ อาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ท่ามกลางวิวอันสวยงามของทะเลสาบ ยิ่งทำให้อาหารอร่อยขึ้นไปอีกกก...พออิ่มแล้วเราก็เดินทางกันต่อ ไปยังอีกหนึ่งแลนด์มาร์คเด็ดญี่ปุ่น ที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ  ภูเขาไฟฟูจิ นั่นเอง ซึ่งทางทัวร์ ก็พาเราขึ้นมาถึง ภูเขาไฟฟูจิ ชั้น 5 เพื่อสัมผัสของการอยู่บนภูเขาไฟฟูจิ โดยหากใครอยากไปถึงชั้น 10 ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 2 วัน ขอข้ามไปก่อนละกัน ไว้มีโอกาสจะมาพิชิตให้ได้เลยครับ!! พิกัด : Komitake Shrine ความรู้สึกแรกที่เมื่อถึงเลยคือ หนาวมากกก... หนาวจริงๆ คือตอนอยู่ด้านล่าง อุณหภูมิประมาณ 30 บวกได้ แต่พอขึ้นมาด้านบน กลับเหลืออยู่แค่ 10 องศานิดๆเท่านั้น ยิ่งบางช่วงที่มีลมพัดมานี่อาจจะร้องซี๊ดได้เลยนะครับ จากนั้นเราก็แวะขอพรกันที่ ที่ ศาลเจ้าโคมิทาเกะ ให้ผู้มาเยือนอย่างเราได้กราบไหว้ขอพรด้วยนะครับ เมื่อชื่นชมความสวยงามของคุณฟูจิซังกันจนหนำใจแล้ว เราก็นั่งรถกลับมาในโตเกียว เพื่อนไปยัง ย่านโอไดบะ (Odaiba) อีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งของโตเกียว โดยเฉพาะสาวกอนิเมะ ต้องอยากมาสัมผัสย่านนี้แน่นอนครับ เพราะนอกจากจะมีของให้ช้อปกันอย่างสนุกสนานแล้ว ไฮไลท์เด็ดของโอไดบะก็คือ หุ่นกันดั้ม ขนาดเท่าของจริง รวมถึงคาเฟ่กันดั้ม ให้กับแฟนกันดั้มได้ฟินกับตัวละครในดวงใจ ขนาดผมไม่ใช่แฟนตัวจริง ยังรู้สึกอินไปด้วยเลยครับ เพราะงั้นแฟนกันดั้ม ต้องมาให้ได้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยครับ!! พิกัด : Odaiba หลังจากเดินทางเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว เราก็เดินทางกลับโรงแรม พักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้เป็นวัน Free Day ที่ทางทัวร์จะปล่อยให้เราเที่ยวได้อย่างอิสระ เป็นโอกาสที่ดีของเราที่จะได้ไปใครอยากไปเที่ยวตามใจได้อย่างเต็มที่ ส่วนตัวผมนั้น วางแผนไว้หมดแล้ว จะไปที่ไหนบ้าง ก็รอชมกันนะคร้าบบ ^^ ทัวร์โตเกียว DAY 4 : วันที่ 4 สวัสดีเช้าวันที่4 เช้าแห่งวันฟรีเดย์ สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ถือว่าตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นจุดชมวิวโตเกียวแบบ 360 องศา โดยด้านบนมีทั้ง คาเฟ่ ร้านอาหาร และของที่ระลึกครับ พิกัด : Tokyo Skytree ผมเริ่มโดยนั่งรถจากโรงแรมมาที่สนามบินนาริตะ แล้วต่อรถไฟสายสีส้มมาลงที่สถานี Oshiage station Skytree ได้เลย เดินขึ้นมาจากสถานนีนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ แรกๆอาจจะงงกับแผนที่รถไฟหน่อยนะครับ นั่งไปซักพักเดี๋ยวก็ชินครับ สำหรับคนที่ไม่เคยมา และอาจจะงงกับแผนที่ ผมแนะนำให้ใช้ Google Map นะครับ ใช้งานง่ายมาก บอกทางละเอียดสุด สามารถตามได้เลย ถึงที่หมายแน่นอนครับ พอขึ้นมาจากสถานีรถไฟ ก็เห็นกับตึกสูง สีขาวสุดแสนจะโมเดิร์น โดยวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไปชมวิวที่ชั้นความสูง 350 เมตร แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าสูงไม่พอ ก็สามารถเพิ่มความท้าทายกันได้ที่ชั้น 450 เมตรครับ เมื่อซื้อตั๋วกันเสร็จแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์ไปกันที่ชั้นความสูง 350 กันเลยครับ ชมวิวโตเกียวจนสบายใจแล้ว ก็ลงมาเดินเล่นที่ด้านของโตเกียวสกายทรี ก็เลยได้มีโอกาสชงชาเขียวสไตล์ญี่ปุ่น ที่จะเสริฟพร้อมกับโมจิชิ้นเล็กๆไว้ทานคู่กัน วิธีชงคือ เทน้ำร้อนใส่ถ้วยชา แล้วใช้แปรงตีให้เข้ากันจนเกิดฟอง ยิ่งตีนานรสสัมผัสที่ได้ก็จะยิ่งนุ่มละมุนมากขึ้น..หอมละมุน สมคำล่ำลือจริงๆครับ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เราจะไปตะลุยต่อก็คือ โตเกียวทาวน์เวอร์ (Tokyo Tower) หอส่งสัญญานโทรทัศน์และวิทยุที่มีต้นแบบมาจากหอไอเฟล ที่เที่ยวโตเกียวที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด โดยเรานั่งรถไฟสายสีชมพู (Asakusa line) มาลงที่สถานี Daimon Station ออกจากสถานทีก็เดินต่ออีกหน่อย หรือจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการนั่ง Taxi ไปก็ได้นะครับ แต่สำหรับผมสายเดินอยู่แล้วครับ แค่นี้ชิวมาก อิอิ ระหว่างทางไป Tokyo Tower เราจะเจอ วัดโซโจจิ อีกวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่กับเมืองโตเกียวมาอย่างยาวนาน เราสามารถเดินเข้าไปชม แวะถ่ายรูปเพลินๆกันก่อนที่จะถึง Tokyo Tower กันก่อนได้ พิกัด : Tokyo Tower ในที่สุดเราเจอกับโตเกียว ทาวน์เวอร์ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คเด็ดของโตเกียว ซึ่งโตเกียว ทาวน์เวอร์นั้นถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามของโตเกียวเลยละครับ าคาตั๋วของนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 900 เยน/คน แต่ผมไม่ได้ขึ้นนะครับ เพราะเต็มอิ่มกับบรรยากาศโตเกียวจากขึ้นโตเกียวสกายทรีแล้วนั่นเองครับ ผ่านไป 2 แลนด์มาร์คโตเกียวแล้ว แต่เวลายังเหลืออยู่ ผมก็เลยตัดสินใจไปต่ออีกนิด  กับ ชิงช้าสวรรค์โอไดบะ (Odaiba Ferris Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดันต้นๆของโลกกันเลยทีเดียวครับ การเดินทางก็ไม่ยาก แค่นั่งรถไฟจากสถานี Daimon station มาลงที่ Shimbashi station แล้วต่อรถไฟสายสีน้ำเงินมาลงสถานี Odiba-Kaihinkoen จากนั้นก็เดินออกมาจากสถานีนิดหน่อยก็ถึงแล้วล่ะคร้าบบ ^^ พิกัด : Odaiba Ferris Wheel หลังจากลุยเที่ยวโตเกียวมาทั้งวันจนหมดแรง ก่อนกลับที่พักก็แวะทานข้าวที่ร้าน Sukiya ร้เห็นเมนูแนะนำของทางร้านเป็น ข้าวหน้าปลาไหล เลยจัดมา 1 ชุด มาพร้อมกับหมูผัดซอสเทอริยากิ และซุปมิโซะหอยลาย ส่วนรสชาตินะหรอ ให้ภาพมันเล่าเรื่องแทนแล้วกันครับ…   ทัวร์โตเกียว DAY 5 : วันที่ 5 และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปทัวร์โตเกียว รู้สึกยังไม่อยากกลับเลย แอบใจหายเหมือนกันนะครับเนี่ย แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา หลังจากเก็บของใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมกัน และมุ่งหน้าไปที่สนามบินกันต่อเลย… หลังจากเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จแล้ว ถ้าหากใครเวลา และเงินเยนยังเหลือ ไม่อยากกลับไปแลกให้ขาดทุน ก็สามารถมาเดินช้อปปิ้งด้านใน Duty Free เพื่อซื้อของฝากติดไม่ติดมือกันได้นะครับ อย่างผมก็ได้ไปหลายอย่างเหมือนกัน 555555 ก่อนจะจากกันครั้ง ผมหวังว่ารีวิวประสบการณ์การไปเที่ยวทัวร์โตเกียวของผมในครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนตัดสินใจออกไปสัมผัสโลกใบใหญ่ใบนี้ รวมถึงการไปเที่ยวกับทัวร์ก็ไม่ได้แย่เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย งบประมาณไม่บาน รีวิวครั้งนี้ถือเป็นรีวิวครั้งแรกของผม หากมีข้อผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะครับผม หากมีโอกาสอาจจะได้พบกันใหม่นะครับ   ขอบคุณและสวัสดีครับ          Sayonara.      BOATTIDTIEW   อ่านต่อ >> กินหรูปูอร่อย! ตะลอนกิน 5 ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ที่ญี่ปุ่น <<  

อ่านเพิ่มเติม
ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ
ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ

25 ธ.ค. 61

และพอนึกถึง “จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ” 🗻 เบอร์หนึ่งตลอดกาลที่เป็น Landmark สำหรับนักท่องเที่ยว ก็คงเป็นที่อื่นไปไม่ได้นอกจาก ทะเลสาบคาวากูชิโกะ และ เจดีย์แดง 5 ชั้น แต่วันนี้ สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ อยากให้ลืมแลนด์มาร์กทั้ง 2 แห่งนี้ไปก่อนนะครับ เพราะทัวร์ครับ เรามีอีก 5 จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยไม่แพ้กัน แถมยังได้รูปในมุมมองแปลกใหม่ไม่เหมือนใครอีกด้วย มาฝากกันล่ะครับ มาดูกันเลยครับว่าจะมีที่ไหนบ้าง  1. ศาลเจ้า Fujisan Hongu Sengen Taisha พิกัด : Fujisan Hongu Sengen Taisha หนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่าเป็น ญี่ปุ่นของแท้ ก็คือเสาแดงนั่นเอง และที่ศาลเจ้านี้เพื่อนๆ จะได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่โดดเด่นอยู่ด้านหลัง ตัดกับสีแดงอันสดใสของเสาแดงครับ นอกจากวิวที่ตระการตาแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีประวัติความเป็นมาอันน่าสนใจ เพราะเป็นศาลเจ้าแห่งความศรัทธา ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อระงับการปะทุของภูเขาไฟฟูจินั่นเอง สำหรับการเดินทาง บอกเลยว่ามาง่ายมากๆ เพียงนั่งรถไฟ JR สาย Minobu Line ไปลงสถานี Nishi-Fujinomiya แล้วเปิดแมพเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมายแล้วครับ   2. Gotemba Premium Outlets พิกัด : Gotemba Premium Outlets ขอเอาใจนักท่องเที่ยวที่รักการช้อปปิ้งกันบ้างนะครับ กับที่นี่เลยที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะ Gotemba Premium Outlets คือแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ที่มีร้านค้าและสินค้าราคาถูกมากมาย รวมถึงร้านอาหารอร่อยๆ กว่า 200 ร้านเลยทีเดียว มาที่นี่นอกจากจะได้ละลายทรัพย์แล้ว ยังจะได้ดูวิวภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย มาเที่ยวเดียวได้ถึงสอง ดีไปอีก การเดินทางนี่ง่ายแสนง่าย เพราะเพียงเพื่อนๆ นั่งรถไฟ JR สาย Gotemba Line เพียงต่อเดียวเท่านั้น ไปลงที่สถานี Gotemba แล้วนั่งรถ Shuttle Bus มาลงที่เอาท์เล็ท ก็จะถึงแล้วครับ 3. Mishima Skywalk พิกัด : Mishima Skywalk cr.cultured creatures แลนด์มาร์กแห่งใหม่ สำหรับการชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเลยครับที่นี่ เพราะเพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปี แต่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมากๆ โดยที่นี่เพื่อนๆ จะสามารถเดินทอดน่อง รับอากาศชิลๆ บนความสูงระดับ 70 เมตร ระยะทางกว่า 400 เมตร ไปพร้อมๆ กับการชมวิวและถ่ายรูปกับภูเขาไฟฟูจิ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นและแปลกใหม่สุดๆ ไปเลย อ้อ! เสียค่าเข้านะครับ แต่ราคาไม่แพงเลย เพียงแค่ 1,000 เยนเท่านั้นครับ เทียบกับวิวที่ได้แล้วนั้น เรียกว่าจ่ายเงินหลักร้อย แต่ได้วิวหลักล้านเลยน๊า วิธีเดินทางก็คือ เพื่อนๆ สามารถนั่งรถไฟ JR สาย Tokaido Line ไปลงสถานี Mishima แล้วต่อรถบัสหมายเลข 5 ไปลงที่ Mishima Sky Walk ได้เลยครับ 4. หมู่บ้านโอชิโนะฮักไค พิกัด : Oshino Hakkai ใครที่อยากเห็นหมู่บ้านที่มีหลังคาโบราณ แบบชิราคาวะโกะ แต่ก็อยากชมวิวภูเขาไฟฟูจิไปพร้อมๆ กัน ขอแนะนำที่นี่เลยครับ ที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีบ่อน้ำ 8 บ่อ ที่น้ำใสมากๆ เพราะเป็นน้ำจากหิมะที่ละลายในช่วงฤดูร้อน และไหลมาจากทางลาดใกล้ๆ ภูเขาไฟฟูจิ โดยผ่านหินลาวาที่มีรูพรุนอายุกว่า 80 ปีเลยล่ะ มาที่นี่นอกจากจะได้ถ่ายภาพกับบ้านหลังคาโบราณแล้ว ยังได้เห็นภูเขาไฟฟูจิใกล้ขึ้นอีกด้วยนะครับ การเดินทางอาจจะต้องใช้เวลาสักนิด เพราะต้องนั่งรถบัสจาก Gotemba Station หรือ Kawaguchiko Station มาอีกราวๆ 1 ชั่วโมงครับ แต่แลกกับวิวระดับนี้ นั่งนานกว่านี้ก็ยอมนะ 5. สถานี Shin-Fuji ปิดท้ายกับจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่เพื่อนๆ สามารถมองเห็นฟูจิซังแบบ Full HD เลยทีเดียว นอกจากจะใกล้มากๆ แล้ว ยังถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และมาง่ายมากๆ ไม่ต้องเหนื่อยเดินหรืออะไรทั้งนั้น แต่ได้วิวหลักล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ Shinkansen วิ่งผ่าน แล้วเราลั่นชัตเตอร์ได้พอดิบพอดี ก็จะออกมาเป็นภาพที่แสนสวยงาม มองเห็นภูเขาไฟฟูจิลูกโตๆ ตั้งอยู่ด้านหลัง เป็นคำตอบได้ดีทีเดียวว่า เจ้าภูเขาไฟลูกนี้ มันใหญ่โตมโหฬารขนาดไหน !! อย่างที่บอกว่า จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิแห่งนี้ ไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลย เพราะเพื่อนๆ สามารถนั่งรถไฟ Tokaido-Sanyo Shinkansen จากสถานีโตเกียว มาลงที่สถานี Shin-Fuji ได้เลย ต่อเดียวถึง สบ๊ายสบาย เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ในมุมมองใหม่ๆ ที่เราคัดมาแนะนำให้ได้รู้จักกัน เริ่มลังเลแล้วล่ะสิว่าจะเลือกไปที่ไหนดี ?? จริงๆ จะบอกว่า ทั้ง 5 สถานที่ที่เราเลือกมาให้ ก็อยู่ไม่ได้ไกลกันเลยนะครับ ลองวางแผนดีๆ อาจจะสามารถไปชมวิวได้มากกว่า 1 ที่ก็ได้ และนอกจาก 5 สถานที่นี้แล้ว ยังมีอีกหลายที่เลยที่สามารถชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้เช่นเดียวกัน เช่น ไร่ชาเขียว Nihondaira , ป่าสน Mihono Matsubara หรือหากใครไม่มีเวลาออกจากโตเกียว ก็สามารถไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้ที่ ภูเขาทาคาโอะ , Tokyo Sky Tree ได้เช่นเดียวกัน และสำหรับใครที่ไม่มีเวลาแวะ ก็ยังชมวิวจากบนรถไฟ หรือแม้กระทั่งบนเครื่องบินก็ได้เหมือนกันนะ อย่างที่บอกว่า ภูเขาไฟฟูจิ ยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในรัศมีไม่ไกลเกินไป ก็สามารถเห็นภูเขาไฟลูกโตๆ นี้ได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ     บทความแนะนำ >> TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !! <<    

อ่านเพิ่มเติม
ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด
ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด

09 ม.ค. 62

ซึ่งบอกเลยว่า ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งกับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่เองที่ไม่อยากจะเที่ยวข้ามภูมิภาค และกับนักท่องเที่ยวขาประจำ ที่เบื่อกิจกรรมเดิมๆ จากเมืองใหญ่ ต่างตบเท้าหิ้วกระเป๋าก้าวเข้ามาเที่ยวที่ นาโกย่า กันเพียบเลยล่ะค่ะ และถ้าอยากรู้ว่าที่ นาโกย่า มีอะไรให้เที่ยวบ้าง จะน่าสนใจขนาดไหน ก็ตาม ทัวร์ครับมาเลย เพราะเราได้รวบรวม 10 แลนด์มาร์กนาโกย่า มาไว้ให้ที่นี่แล้ว เชื่อเถอะว่าพออ่านจบจะอยากไป เที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า แน่นอน !!! 1. ปราสาทนาโกย่า พิกัด : Nagoya Castle หน้าตาละม้ายคล้ายปราสาทโอซาก้า แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ที่นี่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์กของ นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เลยครับ ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า จะต้องแวะมาทักทาย และเช็คอินที่นี่เป็นการเริ่มต้นทริป ปราสาทนาโกย่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมากว่า 400 ปี ด้านในมีนิทรรศการที่น่าสนใจหมุนเวียนกันไป ส่วนด้านนอกก็มีสวนให้เดินเล่นรอบๆ ใครมาตอนซากุระบานยิ่งฟิน เพราะที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่สวยมากๆ เลยล่ะ 2. สวนชิโรโทริ เทอิเอ็น พิกัด : Shirotori Garden สวนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นาโกย่า มีการออกแบบที่ดี สวยงาม และมีต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่นี่ ในฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ก็ออกดอกสวยบานสะพรั่ง ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็มีใบไม้แดงที่สวยงามเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้องน้ำชา ที่เปิดต้อนรับให้นักท่องเที่ยวที่รักการดื่มชา ได้แวะไปชิมชา และยังมีร้านอาหารอร่อยๆ ด้านในด้วยนะครับ มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ที่เดียวครบทุกรสกันไปเลย 3. วัดโอสึคันนง พิกัด : Osu Kannon Temple วัดดังใจกลางเมืองนาโกย่า ที่ไม่ว่าใครผ่านมาที่เมืองนี้จะต้องมาที่นี่กันทั้งนั้น นอกจากจะมาสักการะพระพุทธรูป Kannon ที่นับว่าใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับย่านการค้า Osu Shopping Arcade ทำให้ระหว่างทางของ 2 สถานที่นี้มีร้านค้าเรียงรายกว่า 2,000 ร้าน ทั้งร้านอาหาร และร้านให้จับจ่ายซื้อของ ช้อปปิ้งเพลินจนลืมเหนื่อยเลยล่ะครับ 4.พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นาโงย่า พิกัด : Nagoya City Science Museum บอกแล้วว่าเมืองนี้มีการผสมผสานกันเป็นอย่างดี ระหว่างความคลาสสิคสมัยเก่า และความทันสมัย อย่างพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งนี้ ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีนวัตกรรมอันทันสมัยมากมายในนาโกย่า ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ห้องที่มีอุณหภูมิ -30 องศา เพื่อให้ลองสัมผัสกับแสงเหนือ, พายุหมุนทอร์นาโดจำลอง ความสูง 9 เมตร และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่ชอบวิทยาศาสตร์ มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ก็แวะมาที่นี่ได้ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ 5. Toyota Automobile Museum ใครชอบรถเก่าเตรียมเสียงกรี๊ดไว้ให้พร้อม เพราะที่นี่จะพาไปพบกับรถยนต์ Toyota ตั้งแต่คันแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรถเก่าสุดคลาสสิคตั้งแต่ช่วงที่เริ่มก่อตั้งบริษัทก็อยู่ที่นี่ ทั้งรถคลาสสิคอีกมากมายที่รอให้ทุกคนไปยลโฉมอยู่ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ประวัติของบริษัทโตโยต้าไปในตัวด้วย เดินเล่นชมความงามของรถเหล่านั้นเพลินจนลืมเวลากันเลยทีเดียว 6.พิพิธภัณฑ์ศิลปะโทคุงาวะ พิกัด : Tokugawa Art Museum อีกหนึ่งมิวเซียมที่น่าสนใจมากๆ ในทริปเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า มีผลงานจัดแสดงมากมาย ซึ่งถูกบริจาคโดยลูกหลานตระกูล Owari Tokugawa เช่น เฟอร์นิเจอร์หลากหลายชิ้น, ของใช้ภายในบ้าน, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และอื่นๆ อีกมากมายที่นำมาไว้ที่นี่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมได้เห็นวิถีชีวิตของไดเมียว หรือขุนนางญี่ปุ่นสมัยก่อนนั่นเอง 7. SC MAGLEV and Railway Park ใครชอบรถไฟญี่ปุ่นบ้าง? ที่นี่บริหารโดยบริษัท JR Central ชื่อคุ้นๆ ใช่ไหมล่ะคะ โดยจะนำรถไฟเก่าที่ปลดระวาง ไม่ได้ใช้งานแล้วมาจัดแสดง มีทั้งรถไฟของ JR และที่สำคัญมี Maglev หรือรถไฟความเร็วสูงด้วยนะครับ นอกจากนี้ยังมีรถจักรไอน้ำ และอื่นๆ อีกมากมายเลย ทั้งยังได้จำลองรถไฟ, ระบบจำลองการขับเคลื่อน และโมเดลสามมิติ เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เดินชมอีกด้วย 8. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่า พิกัด : Nagoya Aquarium อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของนาโกย่าที่แอดมินปลาบปลื้มมากๆ (เพราะชอบ Aquarium อยู่แล้ว) แต่ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นตรงที่นอกจากความเพลิดเพลินที่เราได้รับแล้ว ยังได้ความรู้อีกมากมายกลับไปด้วย ส่วนไฮไลท์ที่ชอบที่สุดของเราก็คงเป็น การแสดงโชว์ทอร์นาโดปลาซาดีน ที่ปลาซาดีนหลายร้อยตัวว่ายเป็นวงลอยสูงขึ้นไปอย่างพร้อมเพียงกัน และโชว์เจ้าวาฬเบลูก้า ครับ 9. Oasis 21 พิกัด : Oasis 21 ความทันสมัยของนาโกย่าไม่ได้มีแค่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแลนด์มาร์กแห่งนี้ด้วย ในเวลากลางวันก็สามารถมาเดินเล่นชิลๆ ในสวนสาธารณะสีเขียวขจี เดินช้อปปิ้งในห้างที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หรือเดินชมวิวจากหลังคากระจก ส่วนในเวลากลางคืนนั้นที่นี่ก็จะเปิดไฟประดับสวยงาม เรียกได้ว่าอยู่ได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยันไม่ตก ยันกลางคืนเลยครับ 10. LEGOLAND Nagoya ปิดท้ายกันในทริปเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ที่ธีมปาร์คที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ซึ่งหากพูดว่าหลายคนมานาโกย่าเพราะที่นี่ก็คงไม่ผิดนัก เป็นสวนสนุกที่สร้างจากตัวต่อเลโก้กว่า 17 ล้านชิ้นเลยทีเดียวครับ ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กๆ เท่านั้นที่จะ Enjoy ไปกับเหล่าเลโก้ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นต่างๆ ได้ด้วยเช่นกันนะครับ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันสำหรับคนรักของเล่นเลยล่ะ และนี่ก็คือ 10 ไฮไลท์เบาๆ ของเมืองนาโกย่า ที่เรานำมาแนะนำให้รู้จักกัน แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่นี้นะ ยังมีแลนด์มาร์กอีกมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านชิราคาวะโกะ , เมืองทาคายาม่า , Nagashima Resort ที่เป็นสถานที่จัดงาน Nabana no Sato Winter Ilumination และยังมีอาหารอร่อยๆ อีกมากมายเลย เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจ และน่ามาเที่ยวไม่แพ้เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นเลยครับ   อ่านต่อ บทความแนะนำ >>หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น<<  

อ่านเพิ่มเติม