ทัวร์อินเดีย มุมไบ ออรังกาบัด 5 วัน 3 คืน หมู่ถ้ำอชันตา ป้อมเดาลาตาบัด หมู่ถ้ำเอลโลร่า บิน TG

เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย

ท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางมุมไบไปทางเหนือ 30 กม. (19 ไมล์) ไม่นานมานี้มีการก่อสร้างส่วนขยายเพิ่มเติม และการปรับปรุงท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร รวมถึงมีการปรับปรุงเส้นทางถนนไปยังสนามบิน โครงการนี้ครอบคลุมถึงอาคารผู้โดยสาร 2 แห่งใหม่ ที่มีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2014 ส่วนต่อขยายไปยังระบบรถไฟใต้ดิน LRT ของมุมไบใหม่จะสร้างต่อไปจนกระทั่งถึงท่าอากาศยานในปี 2016

ซุ้มประตูใหญ่ริมทะเลอาระเบียนสุดอลังการที่รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษเคยสร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สื่อถึงการสิ้นสุดของยุคอาณานิคมในอินเดีย โดยระบุว่าที่แห่งนี้เป็นจุดซึ่งทหารอังกฤษคนสุดท้ายก้าวลงเรือกลับประเทศ

เป็นนครถ้ำบนเกาะในทะเลโอมานซึ่งอยู่ติดกับบอมเบย์ ตั้งอยู่บนเกาะเอลิแฟนตา มีลักษณะเป็นวัดฮินดูที่แกะสลักเข้าไปในถ้ำ ภายในหมู่ถ้ำเป็นรูปปั้นแกะสลักเข้าไปในหิน ที่แสดงถึงเทพฮินดูและพุทธศาสนบุคคลซึ่งแกะสลักเข้าไปในหินบะซอลต์ เทวรูปส่วนใหญ่ถูกทำลาย ตัดเศียร สลักพระพักตร์ออกไปหมดแล้ว ต่อมาองค์การยูเนสโกได้รับรองให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1987

เป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ในถ้ำเอเลแฟนต้า มีความสูงอยู่ที่ 7 เมตร รูปปั้นนี้แสดงถึงพระศิวะในฐานะของผู้สร้าง ผู้ปกป้องรักษา และผู้ทำลาย

ท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางมุมไบไปทางเหนือ 30 กม. (19 ไมล์) ไม่นานมานี้มีการก่อสร้างส่วนขยายเพิ่มเติม และการปรับปรุงท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร รวมถึงมีการปรับปรุงเส้นทางถนนไปยังสนามบิน โครงการนี้ครอบคลุมถึงอาคารผู้โดยสาร 2 แห่งใหม่ ที่มีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2014 ส่วนต่อขยายไปยังระบบรถไฟใต้ดิน LRT ของมุมไบใหม่จะสร้างต่อไปจนกระทั่งถึงท่าอากาศยานในปี 2016

เป็นท่าอากาศยานที่ให้บริการเมืองออรังกาบัด รัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ประมาณ 5.5 กิโลเมตรไปทางตะวันออกของใจกลางเมืองออรังกาบัด ดำเนินงานโดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศอินเดีย

เป็นเมืองสำคัญในรัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดีย เป็นเมืองอันเก่าแก่ที่มีหลักฐานการอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ในปัจจุบันเมืองนี้ถือได้ว่ามีการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงรักษาความรุ่งโรจน์และเสน่ห์ในอดีตมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีไว้ได้เห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของอินเดียที่สำคัญเมืองหนึ่ง

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่เมืองออรังกาบัต ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ได้รับการค้นพบในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2362 โดยข้าราชการทหารของสหราชอาณาจักรชื่อจอห์น สมิธ ซึ่งตอนนั้นอินเดียยังอยู่ภายใต้อาณานิคมอังกฤษ ที่นี่มีหลักฐานการก่อตั้งที่เก่าย้อนไปถึง พ.ศ. 350 ซึ่งว่ากันว่าในสมัยนั้นได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ เห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ เพื่อปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสันโดษ

เป็นหนึ่งในป้อมที่ทรงพลังที่สุดของ Deccan ยุคกลางของอินเดีย ซึ่งครั้งหนึ่งที่ป้อมแห่งนี้เคยเป็นพระราชวังของราชวงศ์ยารวะ ต่อมา พ.ศ. 1839 กษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมได้มายึดครอง และได้กลายเป็นเมืองหลวงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะย้ายเมืองใหม่ไปสร้างที่เมืองออรังกบาด ตัวป้อมกระกอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่สองหรือสามแถว นอกจากนี้ยังมีเขาวงกตที่สร้างขึ้นอย่างชาญฉลาดด้วยการจัดเรียงที่ซับซ้อนของทางเข้าและคูเมืองที่ถูกตัดด้วยหินและร่องลึกซึ่งสามารถข้ามได้เพียงจุดเดียว สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือซากกำแพงเมืองที่ใหญ่โต ซากเสามัสยิดจำนวน 106 ต้น และซากพระราชวังที่อยู่บนยอดเขา รวมทั้งปืนใหญ่ที่ยังอยู่คู่กับเมืองเก่า

เป็นเมืองสำคัญในรัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดีย เป็นเมืองอันเก่าแก่ที่มีหลักฐานการอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ในปัจจุบันเมืองนี้ถือได้ว่ามีการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงรักษาความรุ่งโรจน์และเสน่ห์ในอดีตมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีไว้ได้เห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของอินเดียที่สำคัญเมืองหนึ่ง

เป็นสถานที่ฝังศพที่ตั้งอยู่ในออรังกาบัดรัฐมหาราษฏระอินเดีย ก่อร้างขึ้นเมื่อปี 1660 โดยจักรพรรดิโมกุลชื่อออรันเซบ เพื่อเป็นสถานที่ฝังศพภรรยาคนแรกของเขาที่ชื่อ Dilras Banu อันเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักอันซื่อสัตย์ ลักษณะโดยรวมของที่นี่มีความคลับคล้ายคลับคลากับทัชมาฮาลในเมืองอัคราแต่มีขนาดเล็กกว่าอยู่เล็กน้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นทัชมาฮาลน้อย ที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่แลนมาร์คหลักที่สำคัญของออรังกาบัต

ที่นี่มีลักษณะเป็นวัดถ้ำหินบะซอลท์ที่มีความสลับซับซ้อนทั้งเรื่องของโครงสร้าง และเรื่องราวอันซับซ้อนในโลกของศาสนา ทั้งพุทธ ฮินดู และเชนในที่แห่งเดียวกัน ภายในมีงานศิลปะสืบมาจากยุคเก่าแก่ในช่วง CE 600-1,000 โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ำที่ 16 มีการขุดเสาหินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์รูปราชรถม้าที่อุทิศให้กับพระอิศวร และการขุดค้นวิหาร Kailasha ยังมีรูปปั้นที่แสดงถึงเทพเจ้าเทพธิดาและเทพนิยายที่พบใน Vaishnavism ที่นำเสนอเรื่องราวสองมหากาพย์ฮินดูที่สำคัญ และพื้นที่อื่นๆ อีกมากที่แสดงถึงความน่าอัศจรรย์ของถ้ำแห่งนี้

เป็นหนึ่งในวัดสำคัญของออรังกาบัด ห่างจากถ้ำอิโลร่าไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร ถูกสร้างเพื่ออุทิศให้กับพระศิวะที่อ้างอิงในพระอิศวรปุรณะ ชื่อของวัดมีภาษาถิ่นที่แปลว่าเจ้าแห่งความเมตตา วัดนี้ยังเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญในประเพณี Shaiva ของศาสนาฮินดู

เป็นวัดฮินดูที่สร้างเพื่ออุทิศให้กับศาสนาฮินดูเทพหนุมาน ตั้งอยู่ห่างไปสี่กิโลเมตรจากถ้ำอิโลร่า ภายในวัดแห่งนี้มีรูปเคารพของหนุมานที่ถือเป็นเทพเจ้าเคารพหลักของวัดนี้ ทุกๆ วันวัดนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าศาสนิกชนมากราบไหว้บูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์ในช่วงเดือน "Sharavan" ตามปฏิทิน Marathi

เป็นเมืองสำคัญในรัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดีย เป็นเมืองอันเก่าแก่ที่มีหลักฐานการอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ในปัจจุบันเมืองนี้ถือได้ว่ามีการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงรักษาความรุ่งโรจน์และเสน่ห์ในอดีตมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีไว้ได้เห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของอินเดียที่สำคัญเมืองหนึ่ง

เป็นท่าอากาศยานที่ให้บริการเมืองออรังกาบัด รัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ประมาณ 5.5 กิโลเมตรไปทางตะวันออกของใจกลางเมืองออรังกาบัด ดำเนินงานโดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศอินเดีย

ท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางมุมไบไปทางเหนือ 30 กม. (19 ไมล์) ไม่นานมานี้มีการก่อสร้างส่วนขยายเพิ่มเติม และการปรับปรุงท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปาตีชีวจี มุมไบ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร รวมถึงมีการปรับปรุงเส้นทางถนนไปยังสนามบิน โครงการนี้ครอบคลุมถึงอาคารผู้โดยสาร 2 แห่งใหม่ ที่มีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2014 ส่วนต่อขยายไปยังระบบรถไฟใต้ดิน LRT ของมุมไบใหม่จะสร้างต่อไปจนกระทั่งถึงท่าอากาศยานในปี 2016

เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย