เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
มีอีกชื่อว่าท่าอากาศยานฮาหมัด เป็นท่าอากาศยานแห่งเดียวในประเทศกาตาร์ ตั้งอยู่ที่กรุงโดฮา และยังเป็นท่าอากาศยานหลักของกาตาร์แอร์เวย์ ที่นี่เป็นหนึ่ในท่าอากาศยานสำคัญที่เชื่อมต่อเครือข่ายการบินกับภูมิภาคต่างๆ ของโลก
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟกลางเมืองซาเกร็บประมาณ 10 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสายการบินโครเอเชีย การขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ฐานทัพหลักของกองทัพอากาศโครเอเชียก็ตั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งของท่าอากาศยานนี้เช่นกัน
เมืองอยู่ในบริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย ทำให้สามารถติดต่อและคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดี นอกจากนี้ซาเกรบยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย
มหาวิหารเซนต์สตีเฟนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านใจกลางของจัตุรัสสเตฟาน เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบโกธิคในยุโรปและมีความสวยโดดเด่นสะดุดตา หอคอยทางทิศใต้มีความสูง 136 เมตรและเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมความสวยงามของวิวด้านบนโดยไต่บันไดขึ้นไป 343 ขั้น
เป็นโบสถ์เซนต์มาร์กประจำเมืองซาเกรบ จุดเด่นคือมีหลังคากระเบื้องปูเป็นลวดลายรูปตราของกองทหารแห่งยุคกลาง ที่นี่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของซาเกรบ
รถราง Funicular (คนท้องถิ่นเรียกZET) เป็นรถรางที่เชื่อมระหว่างเมืองด้านล่างและเมืองด้านบน ซึ่งใช้เวลานั่งเพียง 55 วินาทีเท่านั้น รถรางแนวเฉียงขึ้นเขานี้เปิดใช้บริการตั้งแต่ปี1893 มีทางวิ่งยาวเพียง 66 เมตรถือเป็นรถรางที่สั้นที่สุดสายหนึ่งของโลก มีความชันเขาสูง 30 เมตรเลยทีเดยว
โบสถ์เซนต์แคทเทอรีน โบสถ์สไตล์บาร๊อคที่สวยงามที่สุดในเมืองซาเกรบ ที่ชาวเมืองนิยมมาประกอบพิธีสมรส ซึ่งเป็นโบสถ์รูปแบบบาโรคสีขาวน่าประทับใจ ถูกสร้างขึ้นโดย Jesuits ช่วงระหว่างปี 1620 ถึง 1632 ภายในมีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามทั้งบริเวณเพดาน เสา และผนังโดยรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของศิลปะในสมัยนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีรูปปั้นที่แกะสลักอย่างประณีตประดับอยู่ทั่วบริเวณโบสถ์ รวมทั้งซึ่งมีการจัดแสดงภาพวาดของเซนต์แคทเธอรีนด้วย
โลเวอร์ทาวน์ มีความคึกคักตั้งแต่เช้ายันบ่าย ชมกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ลายตราประจำของโครเอเชีย แดลเมเชีย และสโลวีเนีย ที่ต่อเติมขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1880 จนสวยงาม อยู่ในซาเกร็บเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของโครเอเชีย
จัตุรัสเยลาซิคตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางเมืองซาเกร็บ จัตุรัสแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของซาเกร็บเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยคาเฟ่ แหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหารมากมาย ดังนั้นทั้งชาวโครแอตเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงมักมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นสิ่งที่ยิ่งเสริมให้ที่นี่มีจุดเด่นมากยิ่งขึ้นก็คือคืออนุสาวรีย์เยลาซิคที่นั่งอยู่บนหลังม้าอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาตินิยมอย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่ออุทิศให้ Ban Josip Jelacic ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อความอิสระจากชาวฮังกาเรียนเมื่อปี 1848 โดยเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากของเมืองซาเกร็บแห่งนี้ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการนำกองทัพโครเอเชียต่อสู้กับกองทัพของฮังการี
เป็นสุสานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศโครเอเชีย และเป็นแลนมาร์คที่สำคัญอย่างนึ่งของเมืองซาเกรบ สันนิษฐานว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นในปี 1872 บนที่ดินที่ทางรัฐรับซื้อมาจากนักภาษาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ Ljudevit Gaj ที่นี่เป็นจุดฝั่งศพของผผู้คนจากหลายกลุ่มศาลนา ทั้งคาทอลิก ออร์โธดอกซ์ มุสลิม ยิว โปรเตสแตนต์ กลุ่มวิสุทธิชนยุคสุดท้าย รวมถึงคนไร้ศาสนา
เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีมา และเป็นเมืองท่าสำคัญซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน ภายในตัวเมืองจะมีโบสถ์สำคัญประจำเมือง “โบสถ์อนาสตาเชีย The Cathedral of St. Anastasia” เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกซึ่งสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ยุคโรมาเนสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลเมเชี่ยน
เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาดาร์ ตั้งอยู่ระหว่างกำแพงเมืองยุคกลางและป้อมปราการยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางราชการและศาสนามากมาย รวมไปถึงร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึกต่างๆ
เป็นศาลาว่าการเมืองอันเก่าแก่สไตล์โรมันที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสของเมืองซาดาร์ ที่ยังคงทำการมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นโบสถ์คริสเตียนอันเก่าแก่ของเมืองซาดาร์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ผนังภายนอกทาด้วยสีส้มอิฐแลดูโดดเด่น แท่นบูชาหลักของโบสถ์มีหีบเงินของนักบุญไซเมียนที่ว่ากันว่าอยู่มาตั้งแต่ปี 1380 ซึ่งนับว่าเป็นงานช่างทองที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
เป็นซากปรักหักพังที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าซาดาร์เคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโรมันมาตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล ที่เป็นหนึ่งในสิ่งสรรสร้างประวัติศาสตร์ยุคแรกของซาดาร์ ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีชีวิตชีวาของเมือง มีทั้งที่นั่งพักผ่อนกลางแจ้ง พื้นที่นิทรรศการ รวมถึงลานจัดกิจกรรมสดต่างๆ
โบสถ์เซนต์ โดแนท ซึ่งเป็นโบสถ์สำคัญประจำเมืองอีกแห่งหนี่ง ชมโรมันฟอรัมหรือย่านชุมชนของโรมันเมื่อสองพันปีก่อนที่นักโบราณคดีได้ใช้ความอุตสาหะในการขุดค้นพบหลักฐานสำคัญต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยชาวโรมัน
เป็นอารามคาทอลิกแบบเบเนดิกตินตั้งอยู่ในเมืองซาดาร์ ประเทศโครเอเชีย ไม่ไกลมากจากโรมันฟอรั่ม ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1066 โดยอะดิกะ ขุนนางเมืองซาดาร์คนหนึ่ง โดยได้รับการคุ้มครองและพระราชทานจากกษัตริย์ Petar Krešimir IV ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเมืองเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลีโบสถ์และสภาพแวดล้อมถูกทำลายโดยการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร และโบสถ์ดังกล่าวถูกบูรณะขึ้นใหม่หลังสงคราม เป็นสภาพที่เห็นในปัจจุบัน
เป็นมหาวิหารโรมันคาทอลิคประจำเมืองซาดาร์ ประเทศโครเอเชีย เป็นที่นั่งของอัครสังฆมณฑลแห่งซาดาร์ และเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลมา (พื้นที่ชายฝั่งทะเลของโครเอเชีย) สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 บริเวณเสาพอร์ทัลสามเสาประดาด้วยรูปปั้นนูนของมาดอนน่า ขอบด้านซ้ายของซุ้มตกแต่งด้วยรูปปั้นสิงโตและรูปปั้นวัว ทางเดินใต้เป็นที่ตั้งของแท่นบูชาหินอ่อนที่ใช้สำหรับเก็บของโบราณ ใกล้กันเป็นแท่นบูชาของนักบุญซาคราเมนต์โดยปฏิมากร A. Viviani จากปี 1718 สภาพที่เห็นในปัจจุบันของวิหารนี้มาจากการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 1989
เป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง และถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
อ่าวมาลี สตอน (MALI STON) เมืองเล็กริมทะเลทางตอนใต้ของโครเอเชีย ตั้งอยู่ ณ คาบสมุทรเพลเยแซคใกล้พรมแดนเมือง "นีอุม" ประเทศบอสเนีย บริเวณหุบอ่าวแถบนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของแพลงตอนและสารอาหารในน้ำทะเลจำนวนมาก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นลักษณะโขดหิน เกาะเล็ก ๆ ต่าง ๆ ทำให้เมื่อเวลามีฝนตก น้ำชะล้างแร่ธาตุต่าง ๆ ไหลลงมาในน้ำทะเลแถบนี้ จึงทำให้มาลีสตอนเป็นแหล่งทำอุตสาหรรมประมงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโครเอเชีย
เมืองสตอนเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารทะเลรสเลิศ และมีฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมที่มีชื่อเสียง ท่านจะได้ชิมหอยนางรมสดๆจากฟาร์ม
เป็นเมืองจำพวกเมืองสวย เมืองเก่าที่เห็นตรงหน้า จึงเป็นผลจากการบูรณะขึ้นใหม่ แต่ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก จาก องค์การยูเนสโก เพราะเป็นเมืองเก่าดั้งเดิม ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 7ตลอดแนวกำแพง 2 กิโลเมตร ที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ จึงเป็นระยะการเดินที่น่าสนใจไปทุกรายละเอียด เพราะนอกจากจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองแล้ว ยังได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่า และของกินทะเลอะเดรียติคอย่างเต็มอิ่ม
ได้รับการบอกเล่าว่าเป็นเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป จนได้รับฉายา "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม
ที่นี่เป็นอดีตพระราชวังสภาซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 สภาพที่เห็นปัจจุบันมาจากการบูรณะอันเนื่องมาจากเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1816 เป็นศูนย์กลางการปกครองของดูบรอฟนิก ภายในมีการจารึกซึ่งได้รับการเก็บรักษาไว้ไม่เสียหายจนถึงปัจจุบัน และจารึกนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่และความรักชาติของโครเอเชีย
เป็นหอระฆังประจำเมืองดูบรอฟนิกที่อยู่คู่กับศาลาว่าการเมืองมาตั้งแต่อดีต ตั้งสูงเด่นสง่าอยู่ในเมือง ที่นี่เป็นอีกจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาด
เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ระดับความสูง 400 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีส้ม และความงดงามทะเลอะเดรียติค เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีและความงดงามทะเลอาเดรียติก ยามสีน้ำเงินของทะเลอาเดรียติกตัดกับสีส้มแสดของกระเบื้องหลังคาเมืองเก่า สวยงามเกินจินตนาการมากว่าคำบรรยายใดๆ
ถือว่าเป็นอีกเมืองประวัติศาสตร์ของโครเอเชีย เมืองโบราณบนเกาะเล็กๆ ซึ่งในอดีตเคยถูกปกครองโดยพวกกรีกและโรมัน แต่ปัจจุบันมีการอนุรักษ์เป็นเมืองเก่า และได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 การท่องเที่ยวในเมืองนั้นนักท่องเที่ยวจะได้ซึมซับถึงความเก่าแก่ของ อาคาร บ้านเรือน และป้อมปราการที่สง่างาม โบสถ์อันสวยงามยุคโรมาเนสก์ ได้รับการส่งเสริมด้วยอาคารที่โดดเด่นแบบ เรอเนสซองส์และบาโรคจากยุคเวนิเชียน (Venetian period)
เป็นจัตุรัสที่อยู่ในใจกลางเมืองโทรเกียร์ จัตุรัสนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารโรมันอันเก่าแก่ต่างๆ และมีร้านคาเฟ่ชิลล์ๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งชิมบรรยากาศอันคลาสสิกของจัตุรัสนี้
เป็นประตูเมืองอันเก่าแก่ของเมืองโทรเกียร์ ทางเข้าออกมีลักษณะเป็นซุ้มพอให้คนเดินผ่านได้
เป็นหอนาฬิกาประจำเมืองโทรเกียร์ที่อยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันยังใช้บอกเวลาแก่ชาวเมืองได้ดี
เป็นมหาวิหารสร้างขึ้นบนที่เดิมแทนที่วิหารเดิมซึ่งถูกทำลายลงในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อมุสลิมรุกรานในปี 1123 และเวนิสบุกในปี 1171 โดยที่นี่เริ่มสร้างใหม่เมื่อปี 1213 แล้วเสร็จในศตวรรษที่ 17 โดยลักษณะของวิหารสไตล์โรมาเนสค์ ในขณะที่ส่วนหลังคาเป็นแบบสไตล์โกธิค ส่วนหอระฆังเริ่มสร้างตอนปลายศตวรรษที่ 14 กว่าจะแล้วเสร็จก็ล่วงถึงตอนปลายศตวรรษที่ 16
เมืองซิบีนิกอยู่บริเวณปากแม่น้ำติดทะเล เป็นเมืองท่า แต่คลื่นลมไม่แรงเพราะอ่าวเว้าเข้ามาในแผ่นดิน และหน้าอ่าวยังมีเกาะชื่อ Zlarin คอยบังอยู่ปากอ่าว ทะเลอาเดรียติกมีเกาะริมชายฝั่งเยอะมาก ทั้งเกาะเล็กเกาะใหญ่นับร้อย ถือเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคแถบนี้
จัตุรัสเมืองเก่าซีเบนิค ที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารเก่าแก่ที่ถูกตัดแปลงเป็นร้านขายยา ร้านแว่นตา ร้านเสื้อผ้าบูติก และอีกมากมาย เมืองซีเบนิกแตกต่างจากเมืองริมฝั่งทะเลอะเดรียติกทั่วไปเพราะสร้างโดยชาวกรีก ก่อนที่โรมันจะเข้ามามีอิทธิพล ต่อมาภายหลังตกเป็นเมืองขึ้นของเวเนเชียน หรือเวนิซ ทุกวันนี้จึงยังเห็นสถาปัตยกรรมหลายแห่งทั่วเมืองจะกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายสไตล์เวเนเชียนอย่างชัดเจน
ไฮไลท์ของเมืองซิบีนิกมีเพียงหนึ่งคือ “มหาวิหารเซนต์เจมส์” (Cathedral of St. James หรือบ้างก็เรียก Šibenik Cathedral แต่คนท้องถิ่นจะเรียก “มหาวิหารเซนต์จาค็อบ” ตามภาษาโครแอท) ที่เป็นมรดกโลกนั่นเอง สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1431 และสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1536 ใช้เวลาสร้างร้อยกว่าปี ใช้สถาปนิกหลายรุ่นทั้งจากอิตาลีและจากโครเอเชียเอง ตัวโบสถ์มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีรายละเอียดสูง สถาปัตยกรรมเป็นยุคเรเนซองค์ วัสดุทำจากหินอ่อนที่ตัดมาจากเกาะ Brač ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Split ที่ห่างออกไปพอสมควร เป็นแหล่งหินอ่อนขึ้นชื่อของโครเอเชีย และนำไปใช้ในการสร้างทำเนียบขาวอีกด้วย
นับว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
ล่องเรือทะเลสาบ JEZERO KOZJAK ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติพลิทวิทเซ่แห่งนี้
เป็นเมืองตากอากาศสุดหรูของเศรษฐียุโรป เป็นเมืองที่มีสมญานามว่า ไข่มุกแห่งทะเลอาเดรียติก ด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ประกอบกับอยู่ริมทะเลอาเดรียติก ทำให้เป็นที่พักผ่อนสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโครเอเชีย
นางแห่งนกนางนวล (Maiden with the Seagull) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่แกะโดย ZVONKO CAR เป็นรูปสตรีงดงามที่มีนกนางนวลเกาะอยู่ที่มือ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเมือง โอพาเทีย
เมืองอยู่ในบริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย ทำให้สามารถติดต่อและคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดี นอกจากนี้ซาเกรบยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย
ตลาดกลางแจ้งที่เก่าแก่ มีสีสันสดใส ขายไม้ดอกไม้ประดับและผลไม้ราคาถูก ช่วงเดือนแห่งใบไม้ร่วงนี้ สินค้าในตลาดโดแลค จะเจอผลไม้พวกลูกพีช ลูกพรุนสด แตงแบบแคนตาลูบ องุ่นสด ส้ม รวมทั้ง น้ำผึ้ง ลูกพีช ลูกใหญ่ๆนี่ อร่อยสุดๆ สดๆ เสน่ห์อย่างหนึ่งของโดแลค ตลาดแห่งนี้ คือ ตาชั่ง แบบใช้ตุ้มถ่วง
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟกลางเมืองซาเกร็บประมาณ 10 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสายการบินโครเอเชีย การขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ฐานทัพหลักของกองทัพอากาศโครเอเชียก็ตั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งของท่าอากาศยานนี้เช่นกัน
มีอีกชื่อว่าท่าอากาศยานฮาหมัด เป็นท่าอากาศยานแห่งเดียวในประเทศกาตาร์ ตั้งอยู่ที่กรุงโดฮา และยังเป็นท่าอากาศยานหลักของกาตาร์แอร์เวย์ ที่นี่เป็นหนึ่ในท่าอากาศยานสำคัญที่เชื่อมต่อเครือข่ายการบินกับภูมิภาคต่างๆ ของโลก
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย