เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
ท่าอากาศยานนี้ตั้งอยู่ที่การ์เดอร์มอน ในเขตยูลเลนแซเกอร์ ประเทศนอร์เวย์ ห่างจากตัวเมืองกรุงออสโลไปทางเหนือประมาณ 48 กิโลเมตร เริ่มเปิดใช้ในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศนอร์เวย์ รวมทั้งเป็นฐานให้บริการของสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ และนอร์เวเจียนแอร์ชัตเทิล และยังเป็นท่าอากาศยานสำคัญของสเตอร์ลิงแอร์ไลน์ และไวเดเรอร์
เป็นเมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งสมัยก่อนนั้นเคยเป็นอาณานิคมใหญ่ของชุมชนชาวไวกิ้งโบราณ ปัจจุบันเป็นนครหลวงของประเทศนอร์เวย์ ตั้งอยู่ขอบด้านเหนือของอ่าวฟยอร์ด (fjord) ที่ชื่อ ออสโลฟยอร์ด ตัวเมืองประกอบด้วยเกาะ 40 เกาะ เกาะใหญ่ที่สุดชื่อ Malmøya นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบ 343 แห่งซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดสำคัญของเมือง
เป็นปราสาทหินยุคกลางซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์ในปี 1299 จนกระทั่งปี 1592 จึงมีการปรับปรุงเป็นป้อมปราการโดยใช้แนวกำแพงและปืนใหญ่เพื่อป้องกันเมืองออสโล หลังจากนั้นป้อมปราการแห่งนี้ถูกทอดทิ้งและมีสภาพแย่ลง ต่อมาจึงมีการเริ่มบูรณะในปี 1899 ปัจจุบันมีการนำเที่ยวชมพื้นที่รอบนอกปราสาทและห้องบางห้องที่มีความสำคัญ
เป็นพื้นที่อุทยานหนึ่งในออสโล ที่ความพิเศษของที่แห่งนี้อยู่ที่ผลงานศิลปะประติมากรรมมนุษย์เปลือยในหลากหลายอิริยาบถ โดยผ่านผลงานการแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต และการหล่อรูปคนด้วยสำริด ในเรื่องราวเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตมนุษย์ เป็นผลงานของกุสตาฟ วิกเกอร์แลนด์ ปฏิมากรชาวนอร์เวย์ชื่อดัง อีกทั้งสวนนี้ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสวนประติมากรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ท่าอากาศยานนี้ตั้งอยู่ที่การ์เดอร์มอน ในเขตยูลเลนแซเกอร์ ประเทศนอร์เวย์ ห่างจากตัวเมืองกรุงออสโลไปทางเหนือประมาณ 48 กิโลเมตร เริ่มเปิดใช้ในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศนอร์เวย์ รวมทั้งเป็นฐานให้บริการของสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ และนอร์เวเจียนแอร์ชัตเทิล และยังเป็นท่าอากาศยานสำคัญของสเตอร์ลิงแอร์ไลน์ และไวเดเรอร์
เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศที่สำคัญ ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเรคยาวิกประมาณ 50 กิโลเมตร
สัมผัสประสบการณ์ล่องเรือชมปลาวาฬ ให้ท่านได้ชมวาฟตัวใหญ่ๆ อย่างใกล้ชิด
เป็นภูเขาทางฝั่งตะวันตกของไอซ์แลนด์ (West Iceland) หนึ่งในสถานที่ถ่ายภาพทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของไอซ์แลนด์ ในมุมมองยอดเขารูปกรวยคว่ำ มีน้ำตกและธารน้ำรายรอบ เป็นภาพสัญลักษณ์ของประเทศไอซ์แลนด์ก็ว่าได้ ภูเขาลูกนี้มีความสูงประมาณ 463 เมตร ไม่ว่าจะมาเที่ยวที่นี่ในช่วงไหนก็มีความงดงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะมองเห็นภูเขา Kirkjufell ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว
ในเส้นทางวงกลมทองคำ หรือ Golden Circle ทัศนียภาพของทุ่งหญ้าตัดกับทุ่งลาวา มีฝูงแกะ, วัวและม้าไอซ์แลนด์หากินอยู่ตามธรรมชาติ ชมสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติคือ ซิงเควลลีร์ (Þingvellir) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ และมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) เป็นรอยเชื่อมระหว่างทวีปยูเรเซียและทวีปอเมริกาเหนือ สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์ โดยรัฐสภาได้ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 930 และต่อเนื่องมาจนถึงปี ค.ศ. 1789 ซิงเควลลีร์ (Þingvellir) ตั้งอยู่ตรงรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบ Þingvallavatn ซึ่งเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ใกล้กับคาบสมุทรเรกยาเนส (Reykjanes) และภูเขาไฟเฮนกิลล์ (Hengill) เป็นจุดกำเนิดด้านประวัติศาสตร์และด้านธรณีวิทยาเพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร จากนั้นไปชมน้ำตกกูลล์ฟอสส์ (Gullfoss) หรือไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศและยังจัดว่าเป็น 1 ใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ในเส้นทาง “วงกลมทองคำ” ที่เมื่อผู้มาเยือนไอซ์แลนด์ต้องมาท่องเที่ยว ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ที่แปลว่า ทองคำ และ Foss ที่แปลว่า น้ำตก เมื่อรวมกันหมายถึง น้ำตกทองคำ ถือเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติระดับโลกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งและลดระดับลงในโตรกเขาเบื้องล่างที่ความสูงกว่า 30 เมตร แล้วไปชมน้ำพุร้อนธรรมชาติ (Geysir) น้ำพุร้อน หรือ เกย์ซีร์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า กีย์เซอร์ geyser ที่ใช้กันทั่วโลก น้ำพุร้อนที่นี่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7–10 นาที ไอซ์แลนด์เหมือนพระเจ้าบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างประณีต พลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก ขับเคลื่อนออกมาเป็นน้ำพุร้อน ช่วยให้อากาศอบอุ่นเย็นสบาย และรัฐบาลได้แปลงความร้อนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าส่งใช้ทั่วประเทศ ได้เวลานำคณะเดินทางสู่เซลฟอสส์
อุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวและยังเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์
เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7–10 นาที มีความร้อนประมาณ 400 องศาเซลเซียส พุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์
น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) เป็นน้ำตกมีชื่อแห่งหนึ่งในจำนวนสถานที่ท่องเที่ยว ๆ หลายแห่งของประเทศนี้ และยังจัดว่าเป็นหนึ่งใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ใน “วงกลมทองคำ” ที่เมื่อผู้มาเยือนไอซ์แลนด์ต้องมาท่องเที่ยว ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ในภาษาไอซ์แลนด์ที่แปลว่าทอง และ Foss ที่แปลว่า น้ำตก เมื่อรวมกันก็คงเป็นน้ำตกทองคำ ส่วนจะหมายถึงว่ามีทองคำ ที่น้ำตก หรือว่าน้ำตกมาเป็นทองคำ หรือว่าความงามลองละอองน้ำเมื่อปะทะกับแสงแดดแล้วสะท้อนแวววาว ปรากฏเป็นรุ้งกินน้ำให้พบเห็นแก่ผู้มาท่องเที่ยวแล้วจะเรียกว่าเป็นทองก็จนด้วยเกล้าเหมือนกัน ฝากไปหาข้อมูลต่อด้วยแล้วกัน แต่ถ้าพูดถึงความงามก็ต้องบอกว่าอลังการสวยงามสมคำเล่าลือ
เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของไอซ์แลนด์ สถาปนาโดยผู้ตั้งถิ่นฐาน Hásteinn Atlason เป็นหมู่บ้านชาวประมงและการค้าขายที่สำคัญในครั้งก่อน
ภาพของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของ "แสงเหนือ" หรือ "แสงออโรร่า" (Aurora Borealis) เป็นแสงสีเขียวที่พาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางท้องฟ้าที่ใสดุจคริสตัล มองเห็นดาวนับล้านดวง สวยงามตระการตา เสมือนจิตรกรรมบนฟากฟ้า ทำให้กลายเป็นเป้าหมายของนักเดินทางจากทั่วสารทิศ ที่อยากไปเห็นภาพแบบนี้ด้วยตาด้วยเองสักครั้ง แต่การจะได้เห็นภาพแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยรอบด้าน เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน ก่อนที่จะได้มีโอกาสไปเห็นภาพแสงเหนือด้วยตาตัวเอง
1 ในน้ำตกงามของทั้งประเทศซึ่งมีแค่ 3 แห่งเท่านั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ สัมผัสกับสายธารของน้ำตกที่ไหลมาจากหน้าผาสูงถึง 60 เมตร โดยที่เบื้องหลังของน้ำตกสามารถที่เดินเข้าไปได้ ซึ่งเป็นเวิ้งหน้าผา ถ้ำเล็กๆ สายน้ำเย็นเฉียบ เพราะเนื่องจากบนยอดเขา Eyjafjallsokull เป็นภูเขาไฟที่ดับมาหลายปีแล้ว
หมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ของไอซ์แลนด์ ที่มีรายชื่อในการจัดอันดับชายหาดที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 1991 เป็นหมู่บ้านที่มีฝนตกมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชายหาดที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่น่ามหัศจรรย์ที่น่าไปชมเป็นอย่างยิ่ง
เป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 62 เมตร เป็นม่านน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลลงจากหน้าผาสูงชันด้านบนลงสู่พื้นราบด้านล่าง ที่นี่เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตภาคใต้ของไอซ์แลนด์ และยังเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดและมีขนาดใหญํเป็นอันดับ 5 ของประเทศไอซ์แลนด์อีกด้วย
เป็นธารน้ำแข็งที่มีความกว้างใหญ่เป็นอันดับ 4 ของธารน้ำแข็งทั้งหมดในไอซ์แลนด์ พื้นที่กว่า 596 ตารางกิโลเมตร ที่นี่นักท่องเที่ยวจะพบกับประสบการณ์ใหม่กับคำเปรียบเปรยที่ว่า “อย่าเพิ่งไปจากไอซ์แลนด์ หากท่านยังไม่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากธารน้ำแข็ง” ด้วยการขับรถสโนว์โมบิล
ความสนุกของการขี่สโนว์โมบิล คือความเร็ว ความคล่องตัว อารมณ์เดียวการขับเจ็ทสกี แต่ที่ดีกว่าคือการขับเล่นกันบนหิมะ ผ่านป่าน้ำแข็งและทุ่งกว้าง หรือจะขับขี่บนทะเลสาบที่เป็นกลายเป็นน้ำแข็งก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมในแต่ละที่ สโนว์โมบิลจะมีที่จับเหมือนมอเตอร์ไซค์ แล้วจะมีที่จับโผล่มาสำหรับให้นิ้วโป้งเรากด เพื่อใช้เวลาเร่งความเร็ว ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าลองมากทีเดียว
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนพื้นที่กว้างอันสวยงามทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่บริเวณถนน hringvegur (ถนนหมายเลข 1 หรือถนนวงแหวน) เป็นส่วนหนึ่งของเขตเทศบาลเมืองSkaftárhreppur และมีประชากรอยู่ที่นี่ประมาณ 500 คน
เป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ และลึกเป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งบนทะเลสาบนี้มีอายุนับได้หลายๆ ร้อยปี
เขตอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ตั้งอยู่ใต้ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า VATNAJOKULL มีขนาด 8,300 ตารางกิโลเมตร เท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน และขนาดความหนามากที่สุด หนาประมาณ 1,000 เมตร
ไอซ์เบิร์ก หรือภูเขานํ้าแข็งก้อนโตๆ เรียงรายโผล่พ้นพื้นนํ้าในทะเลสาบ ยามกระทบแสงแดดก่อให้เกิดสีสันสวยงามที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก
เป็นถ้ำในทะเลสาบแช่แข็งที่เกิดจากธารน้ำแข็งสวีนาเฟลล์โจกุล (Svinafellsjokull Glacier) โดยถ้ำแห่งนี้มีปากถ้ำที่เป็นปล่องน้ำแข็งสูงประมาณ 22 ฟุต แต่เนื่องจากสภาพอุณหภูมิที่ค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย รูปแบบของถ้ำน้ำแข็งจึงไม่ค่อยแน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเข้าไปชมความงดงามของถ้ำน้ำแข็ง จึงสามารถทำได้แค่ในช่วงฤดูหนาว ความความโดดเด่นของถ้ำแห่งนี้ก็คือ ผนังน้ำแข็งคือก้อนน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนเหมือนกับก้อนคริสตัล ที่สามารถมองเห็นได้ภายใต้ผนังถ้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนเราท่องไปในดินแดนพิศวง และไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงในโลกนี้
สวีนาเฟลล์โจกุล (Svinafellsjokull Glacier) เป็นธารน้ำแข็งที่ก่อให้เกิดถ้ำคริสตัล นับเป็นถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าครามสุดอลังการแห่งหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ โดยถ้ำแห่งนี้มีปากถ้ำที่เป็นปล่องน้ำแข็งสูงประมาณ 22 ฟุต
เป็นหาดทรายที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ของไอซ์แลนด์ จัดอันดับชายหาดที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 1991 หาดนี้เป็นหาดที่หนาวที่สุด เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียส ถือเป็นสถานที่น่ามหัศจรรย์ที่น่าไปชม ที่นี่ยังติดอันดับ 1 ใน 10 หาดทรายที่สวยงามที่สุดในโลกด้วย
เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล มีทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีชาวนอร์ดิคเป็นผู้อพยพกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329
เป็นหนึ่งในสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดของเรคยาวิก ด้านบนมีหอคอยสูง 75 เมตรนำเสนอหนึ่งในทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของพื้นที่เรคยาวิก โบสถ์แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Gudjon Samuelsson ในปี 1937 และเริ่มการก่อสร้างในปี 1945แล้วเสร็จอย่างเป็นทางการในปี 1986 รวมเวลาก่อสร้างใช้เวลาประมาณ 40 ปี
เป็นบ้านหลังหนึ่งที่มีความโดดเด่นในเรคยาวิก รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะสถานที่สำหรับการประชุมเรคยาวิกซัมมิด ของประธานาธิบดีโรนัล เรย์แกนด์ แห่งสหรัฐอเมริกาและมิคาอิล กอร์บาชอฟ ห่งสหภาพโซเวียต นั่นเป็นหนึ่งในก้าวไปสู่จุดจบของสงครามเย็น ภายในอาคารธงของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตถูกแขวนข้ามเพื่อเป็นการระลึกถึงการประชุม บ้านสร้างขึ้นในปี 1909 ซึ่งแต่เดิมเป็นที่พักสำหรับกงสุลฝรั่งเศส
น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดของไอซ์แลนด์ บ่อน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุซึ่งมีชื่อเสียงในการรักษาโรค มีอุณหภูมิของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส
อาบน้ำแร่ (hot spring) ให้ท่านอิสระกับกิจกรรมการแช่น้ำแร่ ให้ท่านรู้สึกผ่อนคลายความเมื่อยล้า และเชื่อว่ายังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย สามารถรักษาโรคเหน็บชา โรคกระดูก ฯลฯ
เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศที่สำคัญ ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเรคยาวิกประมาณ 50 กิโลเมตร
ท่าอากาศยานนี้ตั้งอยู่ที่การ์เดอร์มอน ในเขตยูลเลนแซเกอร์ ประเทศนอร์เวย์ ห่างจากตัวเมืองกรุงออสโลไปทางเหนือประมาณ 48 กิโลเมตร เริ่มเปิดใช้ในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศนอร์เวย์ รวมทั้งเป็นฐานให้บริการของสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ และนอร์เวเจียนแอร์ชัตเทิล และยังเป็นท่าอากาศยานสำคัญของสเตอร์ลิงแอร์ไลน์ และไวเดเรอร์
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย