เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานประจำประเทศตุรกี อยู่ห่างจากตัวเมืองอิสตันบูลเพียง 20 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1912 ในฐานะเป็นสนามบินของกองทัพก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสนามบินพลเรือนในเวลาต่อมา เดิมมีชื่อว่าท่าอากาศยาน Yeşilköy ในปี 1980 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นท่าอากาศยานอิสตันบูลอตาเติร์ก เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mustafa Kemal Atatürk ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี
เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอสโตเนีย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับสายการบินแห่งชาตินอร์ดิก้าและเผ็นบ้านเกิดของสายการบินเอสโตเนียแอร์ไลน์ ตั้งอยู่ห่างไป 5 กิโลเมตรไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของศูนย์กลางเมืองทาลลินน์ ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของฝูงบินขับไล่ที่ 384 แห่งกองทัพอากาศเอสโตเนียด้วย
ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 3,000 ปี เคยถูกยึดครองโดยเดนมาร์ก สวีเดน และรัสเซีย ภายหลังได้อิสรภาพจากสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลก นำท่านเที่ยวชมเขตโอลด์ทาวน์ของเมืองทาลลินน์ที่โอบล้อมด้วยกำแพงเมืองและป้อมปราการในยุคกลาง ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในยุคอัศวิน
เป็นมหาวิหารใหญ่ที่มียอดโดมใหญ่ที่สุดในเมืองทาลลินน์ เป็นโมหาวิหารคริสต์ออร์โธด็อกซ์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1900 ในช่วงที่เอสโตเนียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิซาร์แห่งรัสเซีย สถาปนิกผู้ออกแบบโบสถ์แห่งนี้ก็คือ Mikhail Preobrazhenski จากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ยาโรสลาวิทซ์ เนฟสกี้ ด้านบนมีหอระฆังใหญ่ มีระฆัง 11 อัน รวมถึงอันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซึ่งมีน้ำหนักถึง 15 ตัน
เป็นพระราชวังสไตล์บาร๊อคที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองทาลลินน์ สร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชที่ 1 แห่งรัสเซีย เพื่อเป็นที่ประทับของพระราชินีแคทเธอรีน โดยพระราชวังแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย Niccolo Michetti สถาปนิกชาวอิตาเลี่ยนในปี ค.ศ. 1720 แต่ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานทางศิลปะของประเทศ นอกจากนี้ท่านจะได้ชมความงดงามของสวนบริเวณโดยรอบพระราชวังเก่าแห่งนี้ด้วย
เป็นเมืองตากอากาศในประเทศเอสโตเนียซึ่งอยู่ติดกับอ่าวแปร์นู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเพราะชายหาดที่ลากยาวและรีสอร์ทมากมายที่มาเปิดให้บริการ เมืองนี้พึ่งได้เอกราชและเป็นส่วนหนึ่งของเอสโตเนียอย่างเป็นทางการหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
เป็นบ้านไม้เก่าแก่ที่ตั้งกระจายอยู่ตามเมืองปาร์นู ถูกสร้างด้วยสไตล์เอสโตเนียแบบดั้งเดิมที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
เป็นถ้ำที่กว้างและสูงที่สุดในแถบประเทศบอลติก ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเกาจาของประเทศลัตเวีย มีลักษณะเป็นถ้ำหินทรายสีเหลืองน้ำตาล มีความลึกที่ 19 เมตร กว้าง 12 เมตร สูง 10 เมตร ถ้ำนี้มีหลักฐานการก่อกำเนิดเมื่อ 10,000 กว่าปีก่อน เมื่อน้ำละลายกัดกร่อนหินทรายหลังยุคน้ำแข็งให้ปรากฎถ้ำนี้ บนผนังถ้ำมีจารึกจากศตวรรษที่ 17 ที่เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานกุหลาบแห่งตูรินดะ ที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดในลัตเวีย
อุทยานแห่งชาติเกาจา (Gauja National Park) อุทยานธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลัตเวีย ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 917ตารางกิโลเมตร และมีพื้นที่ป่าอันเขียวชะอุ่มกว่า 47%ของพื้นที่เลยทีเดียว ซึ่งอุทยานดังกล่าวยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งลัตเวีย
ซิกุลด้า เป็นเมืองเล็กๆ อันแสนสงบที่มีประชากรไม่ถึงสองหมื่นคนและไม่ห่างไกลจากนครริก้า
สร้างขึ้นในปีค.ศ.1214 โดยอาร์คบิช็อปแห่งริก้า เป็นปราสาทก่ออิฐแบบโกธิค ซึ่งถูกสร้างต่อเติมและบูรณะมาหลายสมัยจนเป็นลักษณะของป้อมปราสาทที่สวยงาม แต่ในปี ค.ศ.1776ปราสาทได้เสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์ไฟไหม้และไม่ได้รับการบูรณะจนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1970 ได้รับการซ่อมแซมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด
เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่อยู่ไม่ไกลมากจากเมืองริก้าทางตะวันออก ตรงบริเวณชายฝั่งที่เขียวชอุ่มของทะเลสาบ Jugla ก่อตั้งขึ้นในปี 1924 ตามคำสั่งของสภาแห่งลัตเวียซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งในสแกนดิเนเวีย พิพิธภัณฑ์นี้มีพื้นที่ 87 เฮกเตอร์ มีอาคารกลางแจ้ง 118 แห่ง มีจัดแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของลัตเวีย รวมถึงของสะสมของพิพิธภัณฑ์ที่มีมีวัตถุโบราณกว่า 150,000 ชิ้น
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญ ย่านเมืองเก่าหรือศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองริกา ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ทั้งที่เป็นอาคารไม้สไตล์นีโอคลาสสิกและอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว นอกจากนี้ ริกายังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2014 อีกด้วย
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญ ย่านเมืองเก่าหรือศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองริกา ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ทั้งที่เป็นอาคารไม้สไตล์นีโอคลาสสิกและอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว นอกจากนี้ ริกายังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2014 อีกด้วย
เป็นที่งดงามเป็นโบสถ์โกธิคที่สำคัญ และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองริก้า ในอดีตโบสถ์แห่งนี้มีชื่อว่า “โบสถ์พ่อค้า” (Merchants Church) เนื่องจากเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดประชุมของเหล่าพ่อค้าในยุคนั้น ๆ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์เป็นโบสถ์แบบกอธิคมาจนถึงปี ค.ศ.1523 กระทั่งถึงช่วงการเปลี่ยนนิกายจากคาทอลิกมาเป็นลูเธอรัน โบสถ์แห่งนี้จึงเปลี่ยนเป็นโบสถ์สไตล์แบบบาร็อคแทน
ป้อมดินปืน (The Powder Tower) ยุคหนึ่งป้อมแห่งนี้สร้างด้วยทรายและได้ชื่อว่า Sand of Tower แต่ต่อมาก็พังทลายลง และได้มีการสร้างขึ้นใหม่ ในศตวรรษที่ 17 ป้อมดินปืนนี้เป็นที่เก็บผงดินปืน ซึ่งนับว่าเป็นของที่มีค่ามากในยามสงคราม ป้อมดินปืนแห่งนี้สามารถทานกระสุนปืนใหญ่จากรัสเซียไว้ได้ และได้ผ่านสงครามอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ และหลังสงครามก็ได้มีการบูรณะป้อมอีกครั้งจนสามารถยืนเด่นเป็นสง่าให้เราได้ยลความแข็งแกร่งของมันจนถึงปัจจุบัน ป้อมดินปืนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์การสงครามของลัตเวีย จัดแสดงสิ่งของมีค่า เอกสาร วัตถุโบราณด้านสงครามของลัตเวียเพื่อให้ลูกหลานชาวลัตเวียได้เห็นความทุกข์ยากของบรรพบุรุษก่อนจะมาเป็นประเทศลัตเวียเช่นทุกวันนี้
อนุสาวรีย์อิสรภาพ (Freedom Monument) อนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองริก้า สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1935 ในช่วงของการเรียกร้องอิสรภาพของประเทศลัตเวียระหว่างปี ค.ศ. 1918-1940 โดยมีชื่อเรียกหญิงสาวคนนี้ว่า “Milda” โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้ออกแบบโดย Ernests Shtalbergs มีความสูงประมาณ 42 เมตร ด้านบนประดับด้วยรูปปั้นของหญิงสาวที่ถือดาว 3 ดวง สื่อถึงภูมิภาคทั้งสามของประเทศลัตเวีย คือ Kurzeme, Vidzeme และ Latgale
เป็นเมืองๆ หนึ่งในภูมิภาค Zemgale ทางใต้ของประเทศลัตเวีย ตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำตื้น Mūsa และ Mēmele ห่างจากเมืองหลวงริกาไปทางใต้ประมาณ 66 กิโลเมตร ในอดีตที่นี่เป็นชุมชนชาวยิวที่เจริญรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 19
เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในประเทศลัตเวีย มีประชากรในปี พศ2549 ไม่ถึง หนึ่งพันคน แต่ก็มีปราสาท ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเป็นของตนเอง
เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค ที่คริสต์ศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือ โดยกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ในอดีตไม้กางเขนจะถูกนำมาวางที่สุสานแห่งนี้ เวลาที่มีการต่อสู้กับผู้บุกรุก หรือเวลาที่มีการเรียกร้องอิสรภาพให้กับชาวลิทัวเนีย พื้นที่นี้จึงมีผู้คนนำไม้กางเขนหลายรูปแบบ มาปักรวมกับรูปปั้นพระเยซูและพระแม่มารี โดยเริ่มต้นจากการปักไม้กางเขนแค่ไม่กี่อัน
เมืองเคานัส (Kaunas) เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งอยู่ตรงที่บรรจบกันของแม่น้ำเนริส และแม่น้ำเนมาน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศลิทัวเนีย และเป็นเมืองหลวงของเทศมณฑลเคานัส เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย
เมืองเคานัส (Kaunas) เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งอยู่ตรงที่บรรจบกันของแม่น้ำเนริส และแม่น้ำเนมาน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศลิทัวเนีย และเป็นเมืองหลวงของเทศมณฑลเคานัส เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย
จุดหมายปลายางด้านการท่องเที่ยวที่เราอยากให้คุณมีโอกาสมาเยือนสักครั้ง ในอดีตเมืองเล็กๆแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของลิทัว เนีย ซึ่งปัจจุบันลิทัวเนียมีเมืองหลวงใหม่ชื่อวิลนีอุส (Vilnius) เมืองทราไก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองวิลนีอุส โดยอยู่ห่างไปประมาณ 28 กิโลเมตร ปัจจุบันเมืองเล็กๆที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของท่องเที่ยว
ปราสาททราไก ปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆใน ทะเลสาบเกรฟ ซึ่งหลายคนที่เคยมาเยือนต่างก็เรียกขานปราสาทแห่งนี้ว่า "Little Marienburg " เป็นปราสาทหินที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยดยุควีเตาตาส เจ้าผู้ครองแคว้นทราไกในสมัยอดีต ปัจจุบันเป็นปราสาทแห่งนี้ถือ ว่าเป็นปราสาทที่มีความสำคัญทางด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ดีมากแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศลิทัวเนีย มีจำนวนประชากรมากกว่า 540,000 คน ในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ยังมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารของเทศบาลนครวิลนีอุส (Vilnius city municipality) และเทศบาลเขตวิลนีอุส (Vilnius district municipality) รวมทั้งเป็นที่ตั้งเทศมณฑลวิลนีอุสด้วย
เป็นเมืองแถบชายแดนทางฝั่งตะวันตกของประเทศเบลารุส อยู่ใกล้ๆ กับชายแดนโปแลนด์และลิทัวเนีย เมืองนี้เป็นที่ตั้งรกรากของชาวยิวมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมโปแลนด์ในเบลารุสด้วย เพราะชาวโปแลนด์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในเบลารุสอยู่ที่นี่
เป็นหนึ่งในส่วนสุดท้ายและใหญ่ที่สุดของป่าดึกดำบรรพ์อันยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยแผ่ขยายไปทั่วที่ราบยุโรปซึ่งหลงเหลืออยู่ ณ ที่นี่ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 141000 เฮกเตอร์ เป็นป่าสวยงามอันลึกลับที่เป็นบ้านของสัตว์ป่ามากมายที่รวมถึงกระทิงยุโรปซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองกว่า 800 ตัว ป่าแห่งนี้ยังถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกและเขตอนุรักษ์พิเศษของยุโรป (EU Natura 2000) อีกด้วย
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเรื่องราวแหล่งธรรมชาติดึกดำบรรพ์แห่งสุดท้ายในเขตอุทยานป่าเบโลเวซคาย่า พุสชา ป่าดึกดำบรรพ์ที่มีเนื้อที่อ้นกว้างใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่บนโลกนี้ประมาณ 163,000 เฮกเตอร์ ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดของเบลารุส ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของธรรมชาติ ชนพื้นเมือง และสัตว์ป่าในอุทยานอันกว้างใหญ่นี้
เป็นเมืองในภูมิภาคเบรสต์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเบลารุส ก่อตั้งขึ้นในปี 1883 ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย เป็นศูนย์กลางของการค้าและอุตสาหกรรมเบา และมีความเจริญจากความหลากหลายของชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันที่นี่
เป็นเมืองในภูมิภาคเบรสต์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเบลารุส ก่อตั้งขึ้นในปี 1883 ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย เป็นศูนย์กลางของการค้าและอุตสาหกรรมเบา และมีความเจริญจากความหลากหลายของชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันที่นี่
เป็นเมืองในเบลารุสที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัด Minskb เป็นเมืองอันงดงามทีมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งอยู่ใกล้ๆ กัน
เป็นปราสาทที่เคยเป็นอยู่อาศัยของผู้คนตระกูล Radziwiłł ซึ่งเป็นตระกูลผู้มั่งมีของอาณาจักรโปแลนด์ในอดีตเมื่อปี 1533 สภาพที่เห็นปัจจุบันมาจากการบูนณะในปี 2002 ที่นี่ถือได้ว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค Kresy ของเบลารุส
เป็นเมืองบนฝั่งของแม่น้ำ Miranka ประมาณ 85 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวงมินสก์ในเบลารุส เป็นเมืองอุตสาหกรรมเล็กๆ ที่มีสภาพบ้านเมืองและอนุสรณ์สถานที่มาจากยุคสหภาพโซเวียต และยังถือว่าเป็นเมืองที่สงบนิ่งและเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการหยุดพักการเดินทางและสัมผัสวิถีชีวิตชาวเบลารุสชนบท
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศเบลารุส ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวิสลาช และแม่น้ำเนียมีฮา ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 280 เมตร กรุงมินสค์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเครือรัฐเอกราช (CIS) ในฐานะเมืองหลวงของประเทศ
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศเบลารุส ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวิสลาช และแม่น้ำเนียมีฮา ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 280 เมตร กรุงมินสค์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเครือรัฐเอกราช (CIS) ในฐานะเมืองหลวงของประเทศ
เป็นท่าอากาศยานหลักประจพประเทศเบลารุส ตั้งอยู่ 42 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงมินสค์ เปิดให้บริการในปี 1981 และในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1983 กองบินร่วมที่สองแห่งมินส์คได้ก่อตั้งขึ้นตามการตัดสินใจของกระทรวงการบินพลเรือนของสหภาพโซเวียตซึ่งได้ถือเอาวันนี้เป็นวันก่อตั้งสนามบินแห่งนี้อย่างเป็นทางการ
เป็นท่าอากาศยานประจำประเทศตุรกี อยู่ห่างจากตัวเมืองอิสตันบูลเพียง 20 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1912 ในฐานะเป็นสนามบินของกองทัพก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสนามบินพลเรือนในเวลาต่อมา เดิมมีชื่อว่าท่าอากาศยาน Yeşilköy ในปี 1980 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นท่าอากาศยานอิสตันบูลอตาเติร์ก เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mustafa Kemal Atatürk ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย