เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองคุนหมิงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 25 กม. เปิดให้บริการแก่พี่น้องชาวเมืองคุนหมิงอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2555 ที่ผ่านมา เป็นศูนย์กลางการบินขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีนฉบับที่ 11 (ปี 2549 - 2553) และเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน รองจากท่าอากาศยานกรุงปักกิ่ง
เป็นท่าอากาศยานในนครลาซา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองพิเศษทิเบตของประเทศจีน ถูกสร้างขึ้นในปี 1965 ตั้งอยู่ทางตอนทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของนครลาซา ในมณฑลซานหนานของจีน เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่อยู่สูงที่สุดของโลก
ทิเบตมีเมืองหลวงชื่อ ลาซา (Lhasa) เป็นเมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตอนกลางของที่ราบสูงทิเบต ทางเหนือของเทือกเขาหิมาลัย มีแม่น้ำลาซาซึ่งเป็นแควสายหนึ่งของแม่น้ำยาลูจัมโปทอดตัวไหลผ่าน เมืองที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,650 เมตร เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนิกชนที่นับถือพุทธศาสนานิกายทิเบต
พระราชวังโปตาลา ตั้งอยู่ที่กรุงลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน พระราชวังแห่งนี้อยู่เหนือกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 3,600 เมตร บนที่ราบสูงทิเบต พระราชวังซึ่งเป็นทั้งป้อมปราการ และ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าซรอนซันกัมโป พระราชวังโปตาลามีระเบียงที่มีภาพเขียนสีเรียงซับซ้อน มีทั้งบันไดไม้บันไดหิน มีห้องสวดมนต์ที่ตกแต่งสวยงาม มีรูปเคารพเกือบสองแสนองค์ ปัจจุบันพระราชวังโปตาลากลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานสักการะ ภายในวังขาว มีสำนักงาน โรงเรียนศาสนา ส่วนวังแดงเป็นส่วนที่ยังใช้ประกอบพิธีกรรมอยู่ เป็นศูนย์รวมใจของโปตาลา
นำท่านชม อารามเซรา ภาษาจีนเรียกว่า เซอราซื่อ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาตาติปูและสร้างขึ้นบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกระท่อมที่พระชองฆาปา ศึกษาธรรมะปฎิบัติกรรมฐาน สร้างโดยศิษย์รูปหนึ่งของชองฆาปา (Tsong Khapa) เมื่อปี ค.ศ. 1419 โดยพระนิกายหมวกเหลือง ลูกศิษย์ของพระสังกัปปะ (ชองฆาปา มีอายุอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1357-1416 เป็นผู้ก่อตั้งพุทธศาสนา นิกายคุณธรรม หรือ นิกายหมวกเหลือง ตามประวัติเล่ากันว่า ชองฆาปา ก็คือพระอาจารย์ขององค์ ดาไลลามะที่ 1) อารามแห่งนี้เคยมีพระจำวัดอยู่ถึงเกือบ 5,000 รูป เป็นอารามที่รู้จักกันดีทั่วทิเบต ปัจจุบันมีพระจำวัดอยู่ประมาณ 300 รูป เป็นวัดที่ใหญ่อันดับ 2 รองจากวัดเดรปุง มีพระอยู่ประจำมากกว่า 6000 รูป นอกจากนี้อารามเซรา ยังเป็นที่เก็บสมบัติทางพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูปที่ทำจากอัญมณีและหล่อจากทองเหลือง พระคัมภีร์ที่เขียนด้วยหมึกสีทอง ทั้งที่เป็นศิลปะแบบทิเบตและศิลปะแบบอินเดีย และยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีพระสงฆ์ปุจฉา วิสัชนาหลักธรรม
วัดโจคัง (Jokhang Monastery)ในปี ค.ศ.647 พระเจ้าซงเซน กัมโป โปรดให้สร้าง วัดโจคัง หรือ ต้าเจาซื่อ (Dazhao Si) ขึ้น เพื่อประดิษฐาน พระพุทธรูปพระอักโษภยพุทธะ (Akshobhya) ที่ เจ้าหญิงภกุฎเทวี ทรงอัญเชิญมาจากประเทศเนปาล ตามตำนานกล่าวว่า เป็นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า เมื่อมีพระชนมายุได้ 8 ชันษา แต่ต่อมา ในคริสต์ศวรรษที่ 8 เจ้าหญิงจากจีนอีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงจินเฉิง (Jincheng Gongzu) ซึ่งได้เดินทางมาอภิเษกสมรสกับ พระเจ้าซื่อเต่อจู่จั้น-กษัตริย์ของทิเบตได้สลับเอา พระพุทธรูปโจโว ริมโปเช (Jovo Rimpoche) หรือ รูปเหมือนพระพุทธเจ้าเมื่อมีพระชนมายุได้ 12 ชันษา ที่ เจ้าหญิงเหวินเฉิง อัญเชิญจากนครฉางอาน ราชธานีแห่งราชวงศ์ถังมาสู่ดินแดนทิเบต ในครั้งที่ทรงเดินทางมาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซงเซน กัมโป ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดราโมช (Ramoche Monastery) หรือ เสี่ยวเจาซื่อ (Xiaozhao Si) มาใว้ที่มหาวิหารวัดโจคัง แล้วย้ายพระพุทธรูปอักโษภยะไปใว้ที่วัดราโมชแทน
ตลาดแปดเหลี่ยม หรือจัตุรัสบาคอร์ ตั้งอยู่หน้าวิหารโจคัง เป็นตลาดทิเบตที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลาซา มีความยาว 800 เมตร มีของพื้นเมืองของทิเบตขายให้นักท่องเที่ยวมากมาย ราคาตั้งแต่ชิ้นละไม่กี่หยวน จนถึงชิ้นละพันหยวน นักท่องเที่ยวจากต่างแดนจะสามารถเลือกซื้อหินสีแปลกๆ และของที่ระลึกจิปาถะ โดยพ่อค้าแม่ค้าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
เป็นเขตชนบทหนึ่งที่ตั้งอยู่ไกลไปทางเหนือของเมืองลาซาในเขตปกครองตนเองทิเบต ชื่อของเมืองแปลในภาษาทิเบตว่า "ทุ่งหญ้า"
“ทะเลสาบแห่งสวรรค์” คือคำนิยามของน่ามู่ชั่ว. ในปีที่ 60-70 แห่งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ของหิมาลัย และภายหลังเพราะอิทธิพลของพื้นที่ราบสูงแห่งทิเบตประกอบกับความแห้งแล้งของอากาศทำให้พื้นที่ทะเลสาบเล็กลงเป็นอันมาก จึงกลายมาเป็น “น่ามู่ชั่ว” ในปัจจุบัน เป็นทะลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศจีน แต่เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก ถือเป็น1ใน3ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต. รอบๆทะเลสาบจะมีกอง “มาเนอะ”(ก้อนหินทรงต่างที่ชาวทิเบตชอบนำมาซ้อนกันเพื่อบูชาเทพเจ้า) วางอยู่เต็มไปหมด ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีกลิ่นอายที่หนาแน่นแห่งศาสนาอีกด้วย
ทิเบตมีเมืองหลวงชื่อ ลาซา (Lhasa) เป็นเมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตอนกลางของที่ราบสูงทิเบต ทางเหนือของเทือกเขาหิมาลัย มีแม่น้ำลาซาซึ่งเป็นแควสายหนึ่งของแม่น้ำยาลูจัมโปทอดตัวไหลผ่าน เมืองที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,650 เมตร เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนิกชนที่นับถือพุทธศาสนานิกายทิเบต
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากนครลาซาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร เป็น 1 ใน 6 วัดสำคัญของนิกายเกลุกปะ สร้างในปี 1416 สมัยดาไลลามะองค์ที่ 2 ชื่อของวัดมีความหมายว่ากองข้าว เนื่องจากอาคารของวัดทาสีขาว เมื่อมองจากระยะไกลจึงคล้ายกองข้าวอยู่บนเชิงเขา มีคนกล่าวกันว่าเป็นวัดที่นอกจากจะมีพื้นที่กว้างขวางที่สุดของทิเบต คือ 200,000 ตารางเมตร บนความสูง 3,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแล้ว ยังเป็นวัดที่ร่ำรวยที่สุดในทิเบตด้วย
เป็นหนึ่งในอารามมหาวิทยาลัยกลุ่ม Gelug ที่สำคัญที่สุดในทิเบต อยู่ใน Dagze County ของเมืองลาซา ก่อตั้งขึ้นในปี 1409 โดยท่านสองขะปะ ภายในวัดประกอบไปด้วยพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อารามสำหรับเหล่าพระสงฆ์ ห้องประชุมหลักสีขาวที่มีหลังคาทอง รวมถึงเกสเฮาส์ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว วัดกานเดนจัดเป็นวัดใหญ่วัดหนึ่งในทิเบต ซึ่งมีพระอาศัยอยู่มากกว่า 3,300 รูป และมีวิทยาลัยตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดหลายหลังด้วยกัน
เป็นท่าอากาศยานในนครลาซา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองพิเศษทิเบตของประเทศจีน ถูกสร้างขึ้นในปี 1965 ตั้งอยู่ทางตอนทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของนครลาซา ในมณฑลซานหนานของจีน เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่อยู่สูงที่สุดของโลก
เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองคุนหมิงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 25 กม. เปิดให้บริการแก่พี่น้องชาวเมืองคุนหมิงอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2555 ที่ผ่านมา เป็นศูนย์กลางการบินขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีนฉบับที่ 11 (ปี 2549 - 2553) และเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน รองจากท่าอากาศยานกรุงปักกิ่ง
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย