เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานนานาชาติประจำเมืองเฮลซิงกิ เมืองหลวของประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่ในเขต Vantaa ที่นี่เป็นที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่สุดในประเทศฟินแลนด์
เป็นท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ในเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศลิทัวเนีย มีจำนวนประชากรมากกว่า 540,000 คน ในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ยังมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารของเทศบาลนครวิลนีอุส (Vilnius city municipality) และเทศบาลเขตวิลนีอุส (Vilnius district municipality) รวมทั้งเป็นที่ตั้งเทศมณฑลวิลนีอุสด้วย
เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าใหญ่ และสวยงามที่สุดของประเทศลิทัวเนีย ค้นพบในปี ค.ศ. 1323 ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำวิลเนีย และแม่น้ำเนริส อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนส โกเมื่อปี ค.ศ. 1994 ย่านเมืองเก่าของ เมืองวิลนีอุส (Vilnius Old Town) ได้ชื่อว่าเป็นเขตเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในเขตยุโรปกลาง มีตึกอาคารเก่าแก่งดงามที่ย้อนยุคไปในช่วงศตวรรษที่ 15-16
จุดหมายปลายางด้านการท่องเที่ยวที่เราอยากให้คุณมีโอกาสมาเยือนสักครั้ง ในอดีตเมืองเล็กๆแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของลิทัว เนีย ซึ่งปัจจุบันลิทัวเนียมีเมืองหลวงใหม่ชื่อวิลนีอุส (Vilnius) เมืองทราไก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองวิลนีอุส โดยอยู่ห่างไปประมาณ 28 กิโลเมตร ปัจจุบันเมืองเล็กๆที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของท่องเที่ยว
ปราสาททราไก ปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆใน ทะเลสาบเกรฟ ซึ่งหลายคนที่เคยมาเยือนต่างก็เรียกขานปราสาทแห่งนี้ว่า "Little Marienburg " เป็นปราสาทหินที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยดยุควีเตาตาส เจ้าผู้ครองแคว้นทราไกในสมัยอดีต ปัจจุบันเป็นปราสาทแห่งนี้ถือ ว่าเป็นปราสาทที่มีความสำคัญทางด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ดีมากแห่งหนึ่ง
เมืองเคานัส (Kaunas) เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งอยู่ตรงที่บรรจบกันของแม่น้ำเนริส และแม่น้ำเนมาน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศลิทัวเนีย และเป็นเมืองหลวงของเทศมณฑลเคานัส เคานัสเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศลิทัวเนีย
ปราสาทหินที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เพื่อป้องการกันการโจมทางด้านศาสนา แรกเริ่มอาคารปราสาทนี้ได้รับการบันทึกไว้ ในปี 1361 แต่ถูกทาลายด้วยผู้ก่อสงครามทางด้านศาสนา และได้มีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1408 จากที่นี่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้าทั้งสองสายที่มาบรรจบกันที่เมืองนี้คือแม่น้าเนริสและแม่น้ำ เนมานอีกด้วย
ชม Holy Cross Church ทสี่ รา้งขนึ้ ดว้ยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบเรอแนสซองส์
วิหารเคานัส ที่มีการสร้างแบบผสมผสานตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15
เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศลิทัวเนีย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ 1236 ในอดีตเป็นเมืองที่เคยถูกเผาในช่วงยุคสงครามถึง 7 ครั้ง 7 คราวด้วยกัน แต่ปัจจุบันสามารถฟื้นฟูได้จนกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของลิทัวเนีย
เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค ที่คริสต์ศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือ โดยกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ในอดีตไม้กางเขนจะถูกนำมาวางที่สุสานแห่งนี้ เวลาที่มีการต่อสู้กับผู้บุกรุก หรือเวลาที่มีการเรียกร้องอิสรภาพให้กับชาวลิทัวเนีย พื้นที่นี้จึงมีผู้คนนำไม้กางเขนหลายรูปแบบ มาปักรวมกับรูปปั้นพระเยซูและพระแม่มารี โดยเริ่มต้นจากการปักไม้กางเขนแค่ไม่กี่อัน
เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในประเทศลัตเวีย มีประชากรในปี พศ2549 ไม่ถึง หนึ่งพันคน แต่ก็มีปราสาท ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเป็นของตนเอง
รูนดาเลพาเลซ ซึ่งเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดของลัตเวีย ก่อสร้างสไตล์บาร็อค และร็อคโคโค ในศตวรรษที่ 18 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน เป็นคนเดียวกันกับผู้สร้างพระราชวังฤดูหนาวในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย พระราชวังแห่งนี้ถือว่าเป็นพระราชวังฤดูร้อนของท่านดุ๊กแห่งคอร์แลนด์ เอิรน์ โจฮันน์ ไบรอน
เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญ ย่านเมืองเก่าหรือศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองริกา ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ทั้งที่เป็นอาคารไม้สไตล์นีโอคลาสสิกและอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว นอกจากนี้ ริกายังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2014 อีกด้วย
เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองริก้า ที่นี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเมืองที่เป็นจุดบรรจบของถนนเจ็ดสาย เกิดขึ้นในช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 โดยอาคารหลายหลังบริเวณนี้ถูกรื้อออกเพื่อเป็นลานว่างสำหรับเป็นทางเข้าของมหาวิหารริก้าในช่วงนั้น จัตุรัวนี้รายล้อมไปด้วยอนุสรณ์สถานทางสถาปัตยกรรมหลายแห่ง โดยเฉพาะมหาวิหารริก้าที่ถือเป็นแลนมาร์คหลักของที่นี่
วิหาร Dome Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1211 โดยบาทหลวง บิชอป Albert และโบสถ์นี้ก็ได้ถูกซ่อมแซมบรุณะอีกหลายครั้ง สไตล์ของมหาวิหารจะผสมกันระหว่างโกธิคกับบารอค สามารถขึ้นไปดูชมวิวมุมสูงบนยอดโดมได้ด้วย แต่ต้องเสียค่าเข้า
ป้อมดินปืน (The Powder Tower) ยุคหนึ่งป้อมแห่งนี้สร้างด้วยทรายและได้ชื่อว่า Sand of Tower แต่ต่อมาก็พังทลายลง และได้มีการสร้างขึ้นใหม่ ในศตวรรษที่ 17 ป้อมดินปืนนี้เป็นที่เก็บผงดินปืน ซึ่งนับว่าเป็นของที่มีค่ามากในยามสงคราม ป้อมดินปืนแห่งนี้สามารถทานกระสุนปืนใหญ่จากรัสเซียไว้ได้ และได้ผ่านสงครามอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ และหลังสงครามก็ได้มีการบูรณะป้อมอีกครั้งจนสามารถยืนเด่นเป็นสง่าให้เราได้ยลความแข็งแกร่งของมันจนถึงปัจจุบัน ป้อมดินปืนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์การสงครามของลัตเวีย จัดแสดงสิ่งของมีค่า เอกสาร วัตถุโบราณด้านสงครามของลัตเวียเพื่อให้ลูกหลานชาวลัตเวียได้เห็นความทุกข์ยากของบรรพบุรุษก่อนจะมาเป็นประเทศลัตเวียเช่นทุกวันนี้
สร้างขึ้นในปี 1330 เพื่อเป็นที่อยู่ของ Livonian Order เคยถูกทำลายไปในศตวรรษที่ 15 โดยชาวเมืองและได้รับการสร้างขึ้นใหม่โดยชาวเมืองเช่นกันปัจจุบันนอกจากเป็นที่อยู่ของประธานาธิบดีของลัทเวียยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ด้วย
สร้างขึ้นในปีค.ศ.1214 โดยอาร์คบิช็อปแห่งริก้า เป็นปราสาทก่ออิฐแบบโกธิค ซึ่งถูกสร้างต่อเติมและบูรณะมาหลายสมัยจนเป็นลักษณะของป้อมปราสาทที่สวยงาม แต่ในปี ค.ศ.1776ปราสาทได้เสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์ไฟไหม้และไม่ได้รับการบูรณะจนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1970 ได้รับการซ่อมแซมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด
เป็นเมืองตากอากาศในประเทศเอสโตเนียซึ่งอยู่ติดกับอ่าวแปร์นู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเพราะชายหาดที่ลากยาวและรีสอร์ทมากมายที่มาเปิดให้บริการ เมืองนี้พึ่งได้เอกราชและเป็นส่วนหนึ่งของเอสโตเนียอย่างเป็นทางการหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
เป็นบ้านไม้เก่าแก่ที่ตั้งกระจายอยู่ตามเมืองปาร์นู ถูกสร้างด้วยสไตล์เอสโตเนียแบบดั้งเดิมที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 3,000 ปี เคยถูกยึดครองโดยเดนมาร์ก สวีเดน และรัสเซีย ภายหลังได้อิสรภาพจากสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลก นำท่านเที่ยวชมเขตโอลด์ทาวน์ของเมืองทาลลินน์ที่โอบล้อมด้วยกำแพงเมืองและป้อมปราการในยุคกลาง ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในยุคอัศวิน
เป็นที่ตั้งของปราสาททูมเปีย ปัจจุบันได้ใช้เป็นอาคารรัฐสภาและหน่วยงานราชการ, โบสถ์อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ (Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์รัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอสโทเนีย เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก แล้วเดินลัดเลาะแนวกำแพงเมืองสู่จตุรัสกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของศาลากลางรายล้อมด้วยอาคารที่ต่างยุคสมัยกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-17
ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปเหนือ ห้อมล้อมด้วยคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย แผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคยุโรปเหนือ ภูมิภาคยุโรปตะวันออก ภูมิภาคยุโรปกลาง และหมู่เกาะของประเทศเดนมาร์ก
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ ริมชายฝั่งอ่าวฟินแลนด์ ตัวเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน เฮลซิงกิอยู่ติดกับเมืองวันตาและเอสโปซึ่งรวมกันตั้งเป็นเขตเมืองหลวงหรือมหานครเฮลซิงกิ
เป็นจตุรัสใหญ่กลางเมืองเฮลซิงกิ ที่นี่มักจะเป็นสถานที่ใช้จัดเทศกาลหรือกิจกรรมต่างๆ และจุดนี้เป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเฮลซิงกิ
เป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของจัตุรัสซีเนทของกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ อนุสาวรีย์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1894 ตัวอนุสาวรีย์ประกอบด้วยรูปปั้นอเล็กซานเดอร์บนแท่นที่ล้อมรอบด้วยตัวเลขที่แสดงถึงกฎหมาย วัฒนธรรมและเรื่องราวชนชั้นกรรมกร ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองและสิ่งเตือนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของฟินแลนด์กับจักรวรรดิรัสเซียในอดีต
รู้จักกันในนาม "โบสถ์หิน" (Rock Church) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "โบสถ์แห่งความรัก" ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2511 และเสร็จวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของปีถัดไป และมีความเชื่อว่าหากใครก็ตามมาจุดเทียนอธิฐานเรื่องเกี่ยวกับความรักใน โบสถ์นี้ก็จะสมหวังในสิ่งที่อธิฐานทุกประการ จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาจัดพิธีแต่งงานที่นี่กันเป็นจำนวนมาก เพราะว่ากันว่าคู่รักที่มาจัดพิธีแต่งงานที่โบสถ์แห่งนี้จะครองรักกันยืนยาว จนแก่เฒ่า
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำเมืองเฮลซิงกิ ตั้งอยู่ในเขตวานตา ห่างจากเมืองเฮลซิงกิขึ้นไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร ที่นี่เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฟินแลนด์และเป็นอันดับที่สี่ในประเทศแถบนอร์ดิกในแง่ของจำนวนผู้โดยสาร
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย