เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่มากที่ตั้งอยู่ในเขตอัลการ์ฮูดของนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดในโลกจากการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของการบินพาณิชย์และการขนส่งข้ามภูมิภาคต่างๆ ของโลก
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟกลางเมืองซาเกร็บประมาณ 10 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสายการบินโครเอเชีย การขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ฐานทัพหลักของกองทัพอากาศโครเอเชียก็ตั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งของท่าอากาศยานนี้เช่นกัน
เป็นเมืองตากอากาศสุดหรูของเศรษฐียุโรป เป็นเมืองที่มีสมญานามว่า ไข่มุกแห่งทะเลอาเดรียติก ด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ประกอบกับอยู่ริมทะเลอาเดรียติก ทำให้เป็นที่พักผ่อนสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโครเอเชีย
นางแห่งนกนางนวล (Maiden with the Seagull) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่แกะโดย ZVONKO CAR เป็นรูปสตรีงดงามที่มีนกนางนวลเกาะอยู่ที่มือ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเมือง โอพาเทีย
เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีมา และเป็นเมืองท่าสำคัญซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน ภายในตัวเมืองจะมีโบสถ์สำคัญประจำเมือง “โบสถ์อนาสตาเชีย The Cathedral of St. Anastasia” เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกซึ่งสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ยุคโรมาเนสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลเมเชี่ยน
ถือว่าเป็นอีกเมืองประวัติศาสตร์ของโครเอเชีย เมืองโบราณบนเกาะเล็กๆ ซึ่งในอดีตเคยถูกปกครองโดยพวกกรีกและโรมัน แต่ปัจจุบันมีการอนุรักษ์เป็นเมืองเก่า และได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 การท่องเที่ยวในเมืองนั้นนักท่องเที่ยวจะได้ซึมซับถึงความเก่าแก่ของ อาคาร บ้านเรือน และป้อมปราการที่สง่างาม โบสถ์อันสวยงามยุคโรมาเนสก์ ได้รับการส่งเสริมด้วยอาคารที่โดดเด่นแบบ เรอเนสซองส์และบาโรคจากยุคเวนิเชียน (Venetian period)
เป็นมหาวิหารสร้างขึ้นบนที่เดิมแทนที่วิหารเดิมซึ่งถูกทำลายลงในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อมุสลิมรุกรานในปี 1123 และเวนิสบุกในปี 1171 โดยที่นี่เริ่มสร้างใหม่เมื่อปี 1213 แล้วเสร็จในศตวรรษที่ 17 โดยลักษณะของวิหารสไตล์โรมาเนสค์ ในขณะที่ส่วนหลังคาเป็นแบบสไตล์โกธิค ส่วนหอระฆังเริ่มสร้างตอนปลายศตวรรษที่ 14 กว่าจะแล้วเสร็จก็ล่วงถึงตอนปลายศตวรรษที่ 16
ประตูเมือง Kopnena Vrata
เป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง และถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
People Square เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองสปลิท อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังดิโอคลีเธี่ยน ที่แห่งนี้มีร้านค้า ร้านของฝาก ร้านอาหารต่างๆ ตั้งกระจายอยู่รอบจัตุรัส
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
เป็นลานที่ล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้าน และเชืิ่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้อย่างวิจิตรงดงาม
ยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
เมืองสตอน (STON) เมืองที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทร PELJASAC เมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของหอยนางรมและผลิตภัณฑ์จากหอยนางรมสด ๆ จากทะเลเอเดรียติก เมืองสตอนถูกก่อตั้งประมาณศตวรรษที่ 14 โดยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นดูบรอฟนิค จากนั้นมีการก่อสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองสตอน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างกำแพงนี้ประมาณ 200 ปี มีความยาวกว่า 5.5 กิโลเมตร ตัวกำแพงเคยถูกระเบิดในสงครามปี ค.ศ. 1991 และแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1996 แต่ก็สามารถคงอยู่มาจนได้ถึงทุกวันนี้ เมืองสตอนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่า “VELIKI STON” ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของเมืองตั้งอยู่ติดกับริมฝั่งทะเล และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “MALI STON” ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง โดยมีกำแพงเมืองดังกล่าวเป็นตัวเชื่อมสองส่วนของเมืองเข้าด้วยกัน
เป็นเมืองจำพวกเมืองสวย เมืองเก่าที่เห็นตรงหน้า จึงเป็นผลจากการบูรณะขึ้นใหม่ แต่ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก จาก องค์การยูเนสโก เพราะเป็นเมืองเก่าดั้งเดิม ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 7ตลอดแนวกำแพง 2 กิโลเมตร ที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ จึงเป็นระยะการเดินที่น่าสนใจไปทุกรายละเอียด เพราะนอกจากจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองแล้ว ยังได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่า และของกินทะเลอะเดรียติคอย่างเต็มอิ่ม
เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ระดับความสูง 400 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีส้ม และความงดงามทะเลอะเดรียติค เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีและความงดงามทะเลอาเดรียติก ยามสีน้ำเงินของทะเลอาเดรียติกตัดกับสีส้มแสดของกระเบื้องหลังคาเมืองเก่า สวยงามเกินจินตนาการมากว่าคำบรรยายใดๆ
ได้รับการบอกเล่าว่าเป็นเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป จนได้รับฉายา "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม
เป็นประตูหลักของเมืองเก่าดูบรอฟนิค ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง และอยู่ระหว่าง Lovrijenac Fort กับ Bokar Fort ที่เป็นจุดเข้าตัวเมืองเก่าได้หมด ป้ายรถเมล์ก็มีรายละเอียดเขียนไว้ชัดเจน
ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ เป็นบ่อน้ำพุที่ใช้หล่อเลี้ยงผู้คนในยามศึกสงครามเรื่อยมา จนถึงหอนาฬิกากลางเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ส่วนปลายสุดของถนนสายหลัก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1444 ความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้ก็คือลูกกลม ๆ ใต้หน้าปัดซึ่งแทนพระจันทร์ใช้บอกเวลาข้างขึ้นข้างแรมในทางจันทรคติ เล่ากันว่าภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ถือเป็นเขตชุมชนแรกที่บรรพบุรุษชาวดูบรอฟนิกมาสร้างบ้านเมืองในศตวรรษที่ 7
ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลัก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1444 หน้าปัดทำด้วยเหล็ก มีความพิเศษตรงลูกกลมๆ ใต้หน้าปัดซึ่งแทนพระจันทร์บอกข้างขึ้นข้างแรมในสมัยก่อน และรูปปั้นของ นักบุญ St.Blaise ซึ่งมีโบสถ์ประจำเมืองสไตล์โรมาเนสก์แห่งแรกของเมืองเป็นฉากหลังเพิ่มสเน่ห์มนต์ขลังสวยสดงดงาม
หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต สถานที่เก็บอัฐิของนักบุญ St.Blaise รวมถึงภาพเขียนและชิ้นงานศิลปะวัตถุล้ำค่าจำนวนมาก ผลิตเหรียญกษาปณ์ และทองที่มีชื่อเสียงของเมืองดูบรอฟนิกอีกด้วย
เมืองซิบีนิกอยู่บริเวณปากแม่น้ำติดทะเล เป็นเมืองท่า แต่คลื่นลมไม่แรงเพราะอ่าวเว้าเข้ามาในแผ่นดิน และหน้าอ่าวยังมีเกาะชื่อ Zlarin คอยบังอยู่ปากอ่าว ทะเลอาเดรียติกมีเกาะริมชายฝั่งเยอะมาก ทั้งเกาะเล็กเกาะใหญ่นับร้อย ถือเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคแถบนี้
สภาว่าการเมืองเก่า The Old Loggia ที่สร้างขึ้นราวปี 15
ไฮไลท์ของเมืองซิบีนิกมีเพียงหนึ่งคือ “มหาวิหารเซนต์เจมส์” (Cathedral of St. James หรือบ้างก็เรียก Šibenik Cathedral แต่คนท้องถิ่นจะเรียก “มหาวิหารเซนต์จาค็อบ” ตามภาษาโครแอท) ที่เป็นมรดกโลกนั่นเอง สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1431 และสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1536 ใช้เวลาสร้างร้อยกว่าปี ใช้สถาปนิกหลายรุ่นทั้งจากอิตาลีและจากโครเอเชียเอง ตัวโบสถ์มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีรายละเอียดสูง สถาปัตยกรรมเป็นยุคเรเนซองค์ วัสดุทำจากหินอ่อนที่ตัดมาจากเกาะ Brač ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Split ที่ห่างออกไปพอสมควร เป็นแหล่งหินอ่อนขึ้นชื่อของโครเอเชีย และนำไปใช้ในการสร้างทำเนียบขาวอีกด้วย
นับว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
ล่องเรือทะเลสาบ JEZERO KOZJAK ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติพลิทวิทเซ่แห่งนี้
เมืองอยู่ในบริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย ทำให้สามารถติดต่อและคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดี นอกจากนี้ซาเกรบยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย
เป็นโรงละครแห่งชาติของโครเอเชียในเมืองซาเกรบ สร้างขึ้นในปี 1836 ณ พื้นที่ศาลากลางเก่าในปัจจุบัน ตัวโรงละครมีสถาปัตยกรรมแบบสไตล์นีโอบาร๊อค กับอาคารรูบแบบตัว U
เป็นอาคารรัฐสภาประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ที่เมืองซาเกรบ เป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการปกครองของโครเอเชีย ด้วยอาคารที่สวยแบบเรียบง่ายแต่มีความสง่างาม สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายในเมืองซาเกรบ
เป็นกำแพงหินบริเวณย่านเมืองเก่าซึ่งอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มีความความอัศจรรย์คือภาพพระแม่มารีที่ไม่ถูกเผาทำลายเมื่อไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1731
มหาวิหารเซนต์สตีเฟนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านใจกลางของจัตุรัสสเตฟาน เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบโกธิคในยุโรปและมีความสวยโดดเด่นสะดุดตา หอคอยทางทิศใต้มีความสูง 136 เมตรและเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมความสวยงามของวิวด้านบนโดยไต่บันไดขึ้นไป 343 ขั้น
ตลาดกลางแจ้งที่เก่าแก่ มีสีสันสดใส ขายไม้ดอกไม้ประดับและผลไม้ราคาถูก ช่วงเดือนแห่งใบไม้ร่วงนี้ สินค้าในตลาดโดแลค จะเจอผลไม้พวกลูกพีช ลูกพรุนสด แตงแบบแคนตาลูบ องุ่นสด ส้ม รวมทั้ง น้ำผึ้ง ลูกพีช ลูกใหญ่ๆนี่ อร่อยสุดๆ สดๆ เสน่ห์อย่างหนึ่งของโดแลค ตลาดแห่งนี้ คือ ตาชั่ง แบบใช้ตุ้มถ่วง
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟกลางเมืองซาเกร็บประมาณ 10 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสายการบินโครเอเชีย การขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ฐานทัพหลักของกองทัพอากาศโครเอเชียก็ตั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งของท่าอากาศยานนี้เช่นกัน
เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่มากที่ตั้งอยู่ในเขตอัลการ์ฮูดของนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดในโลกจากการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของการบินพาณิชย์และการขนส่งข้ามภูมิภาคต่างๆ ของโลก
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย