เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานประจำประเทศตุรกี อยู่ห่างจากตัวเมืองอิสตันบูลเพียง 20 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1912 ในฐานะเป็นสนามบินของกองทัพก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสนามบินพลเรือนในเวลาต่อมา เดิมมีชื่อว่าท่าอากาศยาน Yeşilköy ในปี 1980 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นท่าอากาศยานอิสตันบูลอตาเติร์ก เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mustafa Kemal Atatürk ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี
เป็นท่าอากาศยานหลักประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟกลางเมืองซาเกร็บประมาณ 10 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสายการบินโครเอเชีย การขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ฐานทัพหลักของกองทัพอากาศโครเอเชียก็ตั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งของท่าอากาศยานนี้เช่นกัน
เมืองอยู่ในบริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย ทำให้สามารถติดต่อและคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดี นอกจากนี้ซาเกรบยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย
เป็นโบสถ์เซนต์มาร์กประจำเมืองซาเกรบ จุดเด่นคือมีหลังคากระเบื้องปูเป็นลวดลายรูปตราของกองทหารแห่งยุคกลาง ที่นี่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของซาเกรบ
โบสถ์เซนต์แคทเทอรีน โบสถ์สไตล์บาร๊อคที่สวยงามที่สุดในเมืองซาเกรบ ที่ชาวเมืองนิยมมาประกอบพิธีสมรส ซึ่งเป็นโบสถ์รูปแบบบาโรคสีขาวน่าประทับใจ ถูกสร้างขึ้นโดย Jesuits ช่วงระหว่างปี 1620 ถึง 1632 ภายในมีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามทั้งบริเวณเพดาน เสา และผนังโดยรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของศิลปะในสมัยนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีรูปปั้นที่แกะสลักอย่างประณีตประดับอยู่ทั่วบริเวณโบสถ์ รวมทั้งซึ่งมีการจัดแสดงภาพวาดของเซนต์แคทเธอรีนด้วย
มหาวิหารเซนต์สตีเฟนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านใจกลางของจัตุรัสสเตฟาน เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบโกธิคในยุโรปและมีความสวยโดดเด่นสะดุดตา หอคอยทางทิศใต้มีความสูง 136 เมตรและเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมความสวยงามของวิวด้านบนโดยไต่บันไดขึ้นไป 343 ขั้น
จัตุรัสเยลาซิคตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางเมืองซาเกร็บ จัตุรัสแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของซาเกร็บเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยคาเฟ่ แหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหารมากมาย ดังนั้นทั้งชาวโครแอตเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงมักมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นสิ่งที่ยิ่งเสริมให้ที่นี่มีจุดเด่นมากยิ่งขึ้นก็คือคืออนุสาวรีย์เยลาซิคที่นั่งอยู่บนหลังม้าอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาตินิยมอย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่ออุทิศให้ Ban Josip Jelacic ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อความอิสระจากชาวฮังกาเรียนเมื่อปี 1848 โดยเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากของเมืองซาเกร็บแห่งนี้ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการนำกองทัพโครเอเชียต่อสู้กับกองทัพของฮังการี
ตลาดกลางแจ้งที่เก่าแก่ มีสีสันสดใส ขายไม้ดอกไม้ประดับและผลไม้ราคาถูก ช่วงเดือนแห่งใบไม้ร่วงนี้ สินค้าในตลาดโดแลค จะเจอผลไม้พวกลูกพีช ลูกพรุนสด แตงแบบแคนตาลูบ องุ่นสด ส้ม รวมทั้ง น้ำผึ้ง ลูกพีช ลูกใหญ่ๆนี่ อร่อยสุดๆ สดๆ เสน่ห์อย่างหนึ่งของโดแลค ตลาดแห่งนี้ คือ ตาชั่ง แบบใช้ตุ้มถ่วง
นับว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
ล่องเรือทะเลสาบ JEZERO KOZJAK ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติพลิทวิทเซ่แห่งนี้
เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสูงกว่า 70 เมตร ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ในอุทยานแห่งชาติพลิตวิซ่ ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีมา และเป็นเมืองท่าสำคัญซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรขนาดใหญ่ของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน ภายในตัวเมืองจะมีโบสถ์สำคัญประจำเมือง “โบสถ์อนาสตาเชีย The Cathedral of St. Anastasia” เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกซึ่งสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ยุคโรมาเนสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลเมเชี่ยน
เป็นมหาวิหารโรมันคาทอลิคประจำเมืองซาดาร์ ประเทศโครเอเชีย เป็นที่นั่งของอัครสังฆมณฑลแห่งซาดาร์ และเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลมา (พื้นที่ชายฝั่งทะเลของโครเอเชีย) สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 บริเวณเสาพอร์ทัลสามเสาประดาด้วยรูปปั้นนูนของมาดอนน่า ขอบด้านซ้ายของซุ้มตกแต่งด้วยรูปปั้นสิงโตและรูปปั้นวัว ทางเดินใต้เป็นที่ตั้งของแท่นบูชาหินอ่อนที่ใช้สำหรับเก็บของโบราณ ใกล้กันเป็นแท่นบูชาของนักบุญซาคราเมนต์โดยปฏิมากร A. Viviani จากปี 1718 สภาพที่เห็นในปัจจุบันของวิหารนี้มาจากการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 1989
โบสถ์เซนต์ โดแนท ซึ่งเป็นโบสถ์สำคัญประจำเมืองอีกแห่งหนี่ง ชมโรมันฟอรัมหรือย่านชุมชนของโรมันเมื่อสองพันปีก่อนที่นักโบราณคดีได้ใช้ความอุตสาหะในการขุดค้นพบหลักฐานสำคัญต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยชาวโรมัน
เมืองซิบีนิกอยู่บริเวณปากแม่น้ำติดทะเล เป็นเมืองท่า แต่คลื่นลมไม่แรงเพราะอ่าวเว้าเข้ามาในแผ่นดิน และหน้าอ่าวยังมีเกาะชื่อ Zlarin คอยบังอยู่ปากอ่าว ทะเลอาเดรียติกมีเกาะริมชายฝั่งเยอะมาก ทั้งเกาะเล็กเกาะใหญ่นับร้อย ถือเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคแถบนี้
หนึ่งในมรดกโลกของประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ที่เมืองซีเบนิคบนชายฝั่งดัลเมเชียน เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1402 สร้างจากหินปูนสีขาวจากเกาะบลอค ทั้งหลังไม่มี ไม้หรืออิฐปน
ถือว่าเป็นอีกเมืองประวัติศาสตร์ของโครเอเชีย เมืองโบราณบนเกาะเล็กๆ ซึ่งในอดีตเคยถูกปกครองโดยพวกกรีกและโรมัน แต่ปัจจุบันมีการอนุรักษ์เป็นเมืองเก่า และได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 การท่องเที่ยวในเมืองนั้นนักท่องเที่ยวจะได้ซึมซับถึงความเก่าแก่ของ อาคาร บ้านเรือน และป้อมปราการที่สง่างาม โบสถ์อันสวยงามยุคโรมาเนสก์ ได้รับการส่งเสริมด้วยอาคารที่โดดเด่นแบบ เรอเนสซองส์และบาโรคจากยุคเวนิเชียน (Venetian period)
ประตูเมือง Kopnena Vrata
เป็นมหาวิหารสร้างขึ้นบนที่เดิมแทนที่วิหารเดิมซึ่งถูกทำลายลงในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อมุสลิมรุกรานในปี 1123 และเวนิสบุกในปี 1171 โดยที่นี่เริ่มสร้างใหม่เมื่อปี 1213 แล้วเสร็จในศตวรรษที่ 17 โดยลักษณะของวิหารสไตล์โรมาเนสค์ ในขณะที่ส่วนหลังคาเป็นแบบสไตล์โกธิค ส่วนหอระฆังเริ่มสร้างตอนปลายศตวรรษที่ 14 กว่าจะแล้วเสร็จก็ล่วงถึงตอนปลายศตวรรษที่ 16
เป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง และถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
อดีตศาลาว่าการประจำเมืองสปลิท ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1443 ในสไตล์โกธิค ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดนิทรรศการประจำเมือง
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
People Square เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองสปลิท อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังดิโอคลีเธี่ยน ที่แห่งนี้มีร้านค้า ร้านของฝาก ร้านอาหารต่างๆ ตั้งกระจายอยู่รอบจัตุรัส
เป็นเขตเทศบาลหนึ่งในโครเอเชียในเขต Dalmatia - Split ตั้งอยู่ที่ทางแยกของถนนหลวงสาย A1 ซึ่งเชื่อมระหว่างทางเหนือและทางใต้ของโครเอเชียและถนนสาย D1 ชื่อดูโกโพลิเย (Dugopolje) แปลตามตัวอักษรว่า 'long field'
เป็นเมืองทางตอนใต้ของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซึ่งมีแม่น้ำคร่อมอยู่
เป็นบ้านแบบเติร์กของ Biscevic ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Biscevic บนฝั่งแม่น้ำ Neretva Biscevic’s House บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ภายในมีห้องขนาดใหญ่ ลานบ้าน อาคารห้องครัว มีการตกแต่งภายในที่ได้รับการจัดเรียงอย่างสวยงามในสไตล์โอเรียนทัล ส่วนด้านหน้าบ้านเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมตุรกีในเวลานั้น และปัจจุบันเจ้าของบ้านดังกล่าวยังคงเป็นชาวบอสเนียนเชื้อสายเติร์ก
เมืองสตอน (STON) เมืองที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทร PELJASAC เมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของหอยนางรมและผลิตภัณฑ์จากหอยนางรมสด ๆ จากทะเลเอเดรียติก เมืองสตอนถูกก่อตั้งประมาณศตวรรษที่ 14 โดยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นดูบรอฟนิค จากนั้นมีการก่อสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองสตอน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างกำแพงนี้ประมาณ 200 ปี มีความยาวกว่า 5.5 กิโลเมตร ตัวกำแพงเคยถูกระเบิดในสงครามปี ค.ศ. 1991 และแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1996 แต่ก็สามารถคงอยู่มาจนได้ถึงทุกวันนี้ เมืองสตอนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่า “VELIKI STON” ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของเมืองตั้งอยู่ติดกับริมฝั่งทะเล และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “MALI STON” ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง โดยมีกำแพงเมืองดังกล่าวเป็นตัวเชื่อมสองส่วนของเมืองเข้าด้วยกัน
เมืองสตอนเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารทะเลรสเลิศ และมีฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมที่มีชื่อเสียง ท่านจะได้ชิมหอยนางรมสดๆจากฟาร์ม
เป็นเมืองๆ หนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขต Herzegovina-Neretva ของประเทศบอสเนียเฮอร์เซโกวีนา เป็นเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลเอเดรียติก เมืองนี้มีเนินเขาสูงชัน หาดทรายหิน โรงแรม รีสอร์ทตากอากาศมากมายหลายแห่ง
เป็นเมืองจำพวกเมืองสวย เมืองเก่าที่เห็นตรงหน้า จึงเป็นผลจากการบูรณะขึ้นใหม่ แต่ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก จาก องค์การยูเนสโก เพราะเป็นเมืองเก่าดั้งเดิม ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 7ตลอดแนวกำแพง 2 กิโลเมตร ที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ จึงเป็นระยะการเดินที่น่าสนใจไปทุกรายละเอียด เพราะนอกจากจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองแล้ว ยังได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่า และของกินทะเลอะเดรียติคอย่างเต็มอิ่ม
เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ระดับความสูง 400 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีส้ม และความงดงามทะเลอะเดรียติค เพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองหลังคาสีและความงดงามทะเลอาเดรียติก ยามสีน้ำเงินของทะเลอาเดรียติกตัดกับสีส้มแสดของกระเบื้องหลังคาเมืองเก่า สวยงามเกินจินตนาการมากว่าคำบรรยายใดๆ
ได้รับการบอกเล่าว่าเป็นเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป จนได้รับฉายา "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม
เป็นประตูหลักของเมืองเก่าดูบรอฟนิค ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง และอยู่ระหว่าง Lovrijenac Fort กับ Bokar Fort ที่เป็นจุดเข้าตัวเมืองเก่าได้หมด ป้ายรถเมล์ก็มีรายละเอียดเขียนไว้ชัดเจน
ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ เป็นบ่อน้ำพุที่ใช้หล่อเลี้ยงผู้คนในยามศึกสงครามเรื่อยมา จนถึงหอนาฬิกากลางเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ส่วนปลายสุดของถนนสายหลัก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1444 ความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้ก็คือลูกกลม ๆ ใต้หน้าปัดซึ่งแทนพระจันทร์ใช้บอกเวลาข้างขึ้นข้างแรมในทางจันทรคติ เล่ากันว่าภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ถือเป็นเขตชุมชนแรกที่บรรพบุรุษชาวดูบรอฟนิกมาสร้างบ้านเมืองในศตวรรษที่ 7
หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต สถานที่เก็บอัฐิของนักบุญ St.Blaise รวมถึงภาพเขียนและชิ้นงานศิลปะวัตถุล้ำค่าจำนวนมาก ผลิตเหรียญกษาปณ์ และทองที่มีชื่อเสียงของเมืองดูบรอฟนิกอีกด้วย
ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลัก สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นกันไปได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยล้า แถมยังพักสายตากับฟ้าใส ๆ และน้ำทะเลสีครามจัดของทะเลเอเดรียติก ตัดกับหลังคาบ้านสีส้มจัด มุมหนึ่งของกำแพงเมืองมองออกไปเห็นท่าจอดเรือยอชต์เป็นร้อยคัน คนยุโรปชอบทะเล ชอบล่องเรือ จึงไม่แปลกเมื่อที่แห่งนี้เป็นที่พักเรือของนักท่องเที่ยวทางทะเล
ตึกประตูโค้งมีเสาแกะสลักสวยงามเรียงต่อกันเป็นแนว ที่นี่เคยเป็นตึกว่าการของสาธารณรัฐดูบรอฟนิก ตัวตึกเป็นศิลปะผสมโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค ตัวตึกเคยถูกระเบิดพังทลายถึงสองครั้ง แต่ก็ได้สร้างและซ่อมขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันเรกเตอร์ พาเลซ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงการสร้างเมืองตั้งแต่ครั้งแรก และใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต
สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ
เป็นเป็นถนนคนเดินสายหลักของเมืองดูบรอฟนิค ประเทศโครเอเชีย พื้นถนนปูด้วยหินปูน มีระยะทางประมาณ 300 เมตรโดยตัดผ่านย่านเมืองเก่าที่สวยงาม
เป็นท่าอากาศยานนานาชาติประจำประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตรไปทางตะวันออกเฉียงใต้จากใจกลางเมืองดูบรอฟนิก ที่นี่ให้บริการเที่ยวบินตรงไปยัง 60 เมือง ในทุกสัปดาห์จะมีเที่ยวบินภายในประเทศ 70 เที่ยวบินและเที่ยวบินระหว่างประเทศ 28 เที่ยวบินเป็นอย่างน้อยที่ออกจากท่าอากาศยานนี้
เป็นท่าอากาศยานประจำประเทศตุรกี อยู่ห่างจากตัวเมืองอิสตันบูลเพียง 20 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1912 ในฐานะเป็นสนามบินของกองทัพก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสนามบินพลเรือนในเวลาต่อมา เดิมมีชื่อว่าท่าอากาศยาน Yeşilköy ในปี 1980 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นท่าอากาศยานอิสตันบูลอตาเติร์ก เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mustafa Kemal Atatürk ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย