เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน ในปัจจุบันเป็นทั้งศูนย์กลางด้านการเมือง การทหาร และด้านการศึกษาของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้มีการจัดการชลประทานขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดเป็นประจำทุกปี เมื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ชาวนาชาวไร่เพาะปลูกได้ดี ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น คนจึงเริ่มอพยพมาที่เมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ชื่อว่าเฉิงตู
เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู ทางภาคตะวันตกของจีน เป็นเมืองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของจีน ในฐานะเป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่ในเส้นทางสายไหม และเป็นแหล่งบรรจบที่มีความสำคัญของอารยธรรมจีนกับอารยธรรมตะวันตกที่สำคัญ
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญบนเส้นทางสายไหม เนินทรายครวญ หรือ หรือที่ในอดีตสมัยราชวงศ์ฮั่นมีชื่อว่า เนินซาเจี่ยว และเนินทรายเทพ เป็นกลุ่มของเนินทรายที่มีความยาวราว 40 กิโลเมตร จากทิศตะวันตก ณ หุบเขาตั่งเหอไปจรดยังตะวันออกที่ถ้ำหินสลักม่อเกา และมีความกว้างจากทิศเหนือจรดทิศใต้ราว 20 กิโลเมตร โดยยอดที่สูงที่สุดของเนินทรายครวญแห่งนี้นั้นมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,715 เมตร
ขี่อูฐ สู่เนินทรายอันกว้างใหญ่สุดตาเพื่อรอชม พระอาทิตย์ทอแสงยามเช้า แสงทองยามเช้าสาดสู่ทะเลทราย เป็นบรรยากาศยามเช้าที่คุณจะประทับใจมิรู้ลืม
เป็นสระน้ำที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินเสมือนเป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย เดิมสระน้ำนี้มีชื่อว่า ซาจิ่ง ที่แปลได้ว่า “บ่อน้ำกลางทะเลทราย” มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ลึกโดยเฉลี่ย 3 เมตร น้ำในสระใสจนสะท้อนแสงได้ราวกับกระจก ความมหัศจรรย์ของสระน้ำแห่งนี้คือ ถึงแม้จะอยู่กลางทะเลทราย แต่ทว่าน้ำในสระไม่เคยเหือดแห้งหายไปเลย
เป็นตลาดกลางคืนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตุนหวง ชื่อของตลาดมาจากชื่อของเมืองในอดีต โดยคำว่าซาโจว (沙洲) มีความหมายว่าเนินทราย ปัจจุบันตลาดแห่งนี้จะมีทั้งร้านอาหารกลางแจ้ง ร้านนั่งชิลล์ และร้านจำหน่ายของที่ระลึกต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะของที่ระลึกจากเส้นทางสายไหม อาทิเช่น ผ้าพันคอไหม น้ำเต้า งานหัตถกรรม ภาพวาดจีน ขนม และอื่นๆ มากมาย
เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ ในอดีตเป็นหนึ่งในจุดค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สำคัญในเส้นทางสายไหม ทางด้านหน้าออกแบบเป็นเสมือนวัดจีนที่มีความสวยงาม ส่วนภายในถ้ำงดงามด้วยพุทธศิลป์จีนทั้งพระพุทธรูป และจิตรกรรมฝาผนังแบบต่างๆ จากการเป็นสถานที่สำคัญทั้งของจีนและมองโกลในมิติประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย
เป็นเมืองระดับจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู มีชื่อเสียงในฐานะเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองจีนด่านเจียอวี้กวน ซึ่งถือเป็นด่านกำแพงเมืองจีนที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง
เป็นพื้นที่กำแพงเมืองจีนแห่งทิศตะวันตกที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองเจียอวี้กวน มณฑลกานซู่ โดยด่านเจียอวี้กวนนี้เริ่มสร้างเมื่อปี 1372 เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่ที่มีความยาวนับสองหมื่นกิโลเมตร หรือที่รู้จักกันดีในนาม “กำแพงหมื่นลี้” ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างด้วยมือของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลาง
เมืองจางเย่ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน มีอุทยานเขตภูมิทัศน์จางเย่ฉีเหลียนซานตันเสียตี้เม่า หรือภูเขาสายรุ้ง จัดเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของจีนอันงดงามแปลกตา ตั้งอยู่ในเขตภูเขาฉีเหลียนซาน จากตัวเมืองจางเย่ 40 กม.
จัดเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของจีนอันงดงามแปลกตา ตั้งอยู่ในเขตภูเขาฉีเหลียนซาน จากตัวเมืองจางเย่ไปทางตะวันตก 40 กิโลเมตร ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางถึง 300 ตร.กม. ตั้งอยู่บนระดับความสูง 2,000-3,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในทางธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุมานานกว่า 2 ล้านปี ผ่านการกัดกร่อนของธรรมชาติ สายลม แสงแดด และความแห้งแล้งของภูมิประเทศ เผยให้เห็นถึงชั้นของแร่ธาตุใต้ดิน ที่บ้างเป็นริ้วเลื่อมลายหลากสีสันพาดผ่านทั้งเนินภูแลซับซ้อน ดูสวยงามน่าชม
วัดพระใหญ่ หรือ วัดต้าฝอซื่อ สร้างในปีค.ศ.1098 สมัยซีเซี๊ยะ ภายในวิหารใหญ่เป็นที่ประดิษฐานของพระนอนศักดิ์สิทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน มีความยาว 34.5 เมตร ฐานสูง 1.2 เมตร พระอังสา(ไหล่)กว้าง 7.5 เมตร พระกรรณ(หู) ยาว 4 เมตร สามารถให้คนนั่งเรียงกันได้ถึง 8 คน พระบาทยาว 5.2 เมตร
เป็นรถไฟความเร็วสูงที่บริหารงานโดยการรถไฟจีน มีความเร็วสูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง การออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูงทั้งหมดได้ถูกออกแบบมาจากต่างประเทศ ใช้สำหรับการเดินทางที่รวดเร็วระหว่างเมือง ปัจจุบันจีนมีแบบรถไฟความเร็วสูงต่างๆ มากมาย ใช้งานไปตามแต่ละสภาพภูมิประเทศ และเศรษฐกิจ
เป็นเมืองเอกของมณฑลกานซู่ มณฑลทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นจุดผ่านของเส้นทางสายไหมอันลือชื่อ เป็นเมืองอุตสาหกรรมปิโตรเลี่ยมและเครื่องจักรกลหนัก ในสมัยโบราณเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกซีหยง
เป็นสวนโรงน้ำโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณถนนปินเหอ ใกล้ๆ กับแม่น้ำเหลือง อดีตโรงน้ำนี้มีต้นกำเนิดมาจากสมัยราชวงศ์หมิงโรงสี ซึ่งตัวกังหันน้ำทำจากไม้ที่มีรูปทรงกลมพิเศษและเป็นระบบชลประทานที่สำคัญในบริเวณแม่น้ำเหลืองในประเทศจีนโบราณ โดยในฤดูฝนน้ำในลำธารไหลล้นช่วยให้โรงสีหมุนวน ในฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำจะถูกเก็บรวบรวมโดยถังเก็บน้ำเพื่อให้โรงสีทำงานต่อไป ปัจจุบันเปิดให้เป็นลานพักผ่อนประจำเมืองซึ่งถือเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของหลันโจว
อนุสาวรีย์มารดาแม่น้ำเหลือง หรือ หวงเหอหมู่ชิง เป็นรูปนอนตะแคง ศอกดันศีรษะหันมองลูกน้อยที่นอนอิงแอบอยู่ข้างๆ มารดา สายตาที่นางมองดูลูกน้อยนั้น เป็นแววตาที่ช่างอบอุ่นด้วยความรักเป็นที่สุด
เปป็นสะพานเหล็กแม่น้ำหวงเหอของเมืองหลันโจว ชาวบ้านเรียกกันว่าสะพานที่ 1 แม่น้ำหวงเหอ สะพานเหล็กเดิมสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ในปี ค.ศ. 1368-1398 สร้างเป็นเรือขนาดใหญ่ 24 ลำติดต่อกัน ถึงฤดูหนาวก็จะรื้อออก พอถึงหน้าร้อนก็จะต่อขึ้นมาใหม่ เป็นสะพานที่เชื่อมระเบียงแม่น้ำหวงเหอ มณฑลชิงไห่ และมณฑลหนิงเซี๊ยะ เป็นหัวใจของเส้นทางสายไหม
เป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน ในปัจจุบันเป็นทั้งศูนย์กลางด้านการเมือง การทหาร และด้านการศึกษาของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้มีการจัดการชลประทานขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดเป็นประจำทุกปี เมื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ชาวนาชาวไร่เพาะปลูกได้ดี ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น คนจึงเริ่มอพยพมาที่เมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ชื่อว่าเฉิงตู
เป็นถนนโบราณที่มีสินค้าให้ท่านช้อปปิ้งได้ทั้งของรับประทาน และของฝากของที่ระลึกเช่นหน้ากากเฉิงตูเพราะถนนจินหลีนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่แสดงโชว์เปลี่ยนหน้ากากอันโงดังของเมืองเฉิงตู แค่ประตูทางเข้าก้อสามารถทำให้ท่านเห็นถึงบรรยากาศแห่งเหมือนเดินในหนังจีนสมัยก่อนได้เลยทีเดียว
เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเมืองเฉิงตู ประเทศจีน โดยอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 16 กิโลเมตร ในเขตซวงหลิว ในปี 2552 ท่าอากาศยานแห่งนี้ได้กลายเป็นท่าอากาศยานที่วุ่นวายที่สุดในภาคตะวันตกของจีน มีผู้โดยสารมาใช้บริการทั้งสิ้นกว่า 22,637,762 คน
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย