เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นเมืองทางตอนเหนือของหมู่เกาะฮาลองเบย์ของเวียดนาม ชื่อฮาลองแปลว่า "มังกรร่อนลง" ซึ่งมาจากตำนานพื้นบ้านในอดีต เมืองนี้ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของเวียดนามตอนเหนือ ที่มีท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญจากการเป็นที่ตั้งของอ่าวฮาลองเบย์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงามติดอันดับโลก
ล่องเรือชมหนึ่งในทะเลมรดกของโลก ซึ่งชื่อนั้นตั้งขึ้นมาจากตำนานของชาวพื้นบ้านที่แปลว่า "สถานที่ ที่มังกรลงมาอยู่" ซึ่งอ่าวแห่งนี้มีเกาะหรือโขดหินยื่นขึ้นมานับพัน ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทาทะเลที่งดงามมากๆ
เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยแห่งอ่าวฮาลองที่ถือได้ว่าเป็นถ้ำที่มีความสวยงามที่สุดในระแวก ซึ่งมาความโดดเด่นตรงที่หินเหล่านี้มีรูปทรงที่มีหลากหลาย แล้วแต่คนจะตีความตามจินตนาการ เป็นถ้ำที่มีความสวยงามมากและมีหินรูปนางฟ้าที่ถูกสร้างจากธรรมชาติติดอยู่ผนังถ้ำอย่างมหัศจรรย์
เป็นกระเช้า 2 ชั้น ที่บรรจุคนได้กว่า 180 คน จากด้านบนจะได้เห็นทิวทัศน์ที่แสนสวยงามของอ่าวฮาลองเบย์ ข้ามฝั่งสู่เกาะอีกฝากฝั่งหนึ่งเพื่อให้ทุกท่านได้เปลี่ยนบรรยากาศการชมทิวทัศน์ความสวยงามของอ่าวฮาลองเบย์
สวนสนุก Sun World สวนสนุกแห่งใหม่ ให้คุณได้เพลินเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ เช่น Samurai slide , Zen garden , 4D
เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2519 และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเมืองหลวงของพื้นที่เวียดนามในปัจจุบันเป็นครั้งคราวตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึง พ.ศ. 2345 ฮานอยตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแดง อุตสาหกรรมในเมืองคือเครื่องจักร ไม้อัด สิ่งทอ สารเคมี และงานหัตถกรรม
เลือกชม และเลือกซื้อซื้อหยกของเวียดนามกันได้ตามอัธยาศัย
ให้ชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตจากไผ่
เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่าทะเลสาบน้ำเขียว แต่เพราะตำนานที่ว่ากันว่า หลังจากจักรพรรดิเล เหล่ย ได้ใช้ดาบต่อสู้ขับไล่ผู้รุกราน ได้มาประทับบนเรือในทะเลสาบ ได้มีตะพาบยักษ์มาขอดาบคืนเพื่อเอาไปให้จ้าวมังกรผู้มอบดาบแด่จักรพรรดิเล เหล่ย และดาบก็ได้ลอยไปเข้าปากตะพาบและหายไปในน้ำ จึงได้ชื่อใหม่ว่า ทะเลสาบคืนดาบ
เป็นสะพานสีแดงสดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบคืนดาบ ชื่อของสะพานได้มาจาก “สถานที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในยามเช้า” ซึ่งเหงวียน วัน ซิว (Nguyễn Văn Siêu) กวีและนักค้นคว้าวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มาดำเนินการสร้างไว้เมื่อปี 1865 โดยตัวสะพานเชื่อมต่อระหว่างริมฝั่งกับเกาะเนินหยก สะพานแห่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงฮานอย
เป็นวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เพราะตั้งอยู่บนทะเลสาบคืนดาบซึ่งมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อนานมากๆ แล้ว และมาถูกบำรุงและขยับขยายพื้นที่เมื่อ 150 ปีที่แล้ว
เป็นถนนที่มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี ซึ่งเย็นวันศุกร์-อาทิตย์ จะมีตลาดยามค่ำคืน ซึ่งมีของขายมากมาย ซึ่งเมื่อก่อนจะขายของเน้นทางหัตถกรรม แต่สมัยนี้นั้นก็ขายของหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีร้านอาหารข้างถนนเยอะแยะอีกด้วย
หุ่นกระบอกน้ำเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลในเทพตำนานกับความรักชาติอย่างรุนแรงซึ่งปลูกฝังกันมาในจิตใจชาวเวียดนาม นักเชิดหุ่นกระบอกจะยืนอยู่หลังฉากในน้ำที่ท่วมถึงเอวแล้วควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นด้วยไม้ไผ่ลำยาว เทคนิคการเล่นได้ถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างมิดชิด แม้ปัจจุบันนี้ นักเชิดหุ่นอาวุโสทั้งหลายยังไม่ใคร่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนรุ่นหลัง แต่ด้วยเกรงว่าวิชาจะดับสูญบางท่านจึงยอมสอน ทุกวันนี้ ชมการแสดง โชว์หุ่นกระบอกน้ำ ศิลปกรรมประจำชาติ เอกลักษณ์ของประเทศเวียดนาม และมีแห่งเดียวในโลก
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย