เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
ล่องเรือชมหนึ่งในทะเลมรดกของโลก ซึ่งชื่อนั้นตั้งขึ้นมาจากตำนานของชาวพื้นบ้านที่แปลว่า "สถานที่ ที่มังกรลงมาอยู่" ซึ่งอ่าวแห่งนี้มีเกาะหรือโขดหินยื่นขึ้นมานับพัน ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทาทะเลที่งดงามมากๆ
เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยแห่งอ่าวฮาลองที่ถือได้ว่าเป็นถ้ำที่มีความสวยงามที่สุดในระแวก ซึ่งมาความโดดเด่นตรงที่หินเหล่านี้มีรูปทรงที่มีหลากหลาย แล้วแต่คนจะตีความตามจินตนาการ เป็นถ้ำที่มีความสวยงามมากและมีหินรูปนางฟ้าที่ถูกสร้างจากธรรมชาติติดอยู่ผนังถ้ำอย่างมหัศจรรย์
เป็นโบสถ์ประจำเมืองซาปา ที่ทั้งหลังถูกสร้างจากหิน เมื่อปี คส1895 โดยชาวฝรั่งเศสที่เคยมาประจำอยู่ มีหอระฆัง ที่ห้อยระฆังขนาดครึ่งตันไว้ ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีทางศาสนาแห่งเมือง
เป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดในประเทศเวียดนาม ด้วยความสูงกว่า 3,143 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บนทิวเขาฮหว่างเลียนเซิน ในเมืองซาปา จังหวัดลาวไก ในประเทศเวียดนาม ที่นี่ได้รับฉายาว่า "หลังคาแห่งอินโดจีน"
เป็นสะพานแก้วที่เป็นที่เที่ยวใหม่ของซาปา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองซาปาไปทางตะวันตกประมาณ 18 กิโลเมตร บนความสูงจากระดับน้ำทะเลที่ 2,000 เมตรในเขตเทือกเขา Hoang Lien Son สะพานนี้สร้างโดยกลุ่มทุน Hoang Lien Son Group Joint Stock Company โดยทำจากกระจกใสทั้งหมดซึ่งมีความยาว 300 เมตร สูง 1,000 เมตร เป็นสะพานกระจกที่สูงที่สุดและยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้างบนจะได้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามพร้อมสัมผัสกับสายลมและเมฆที่บินผ่านเบื้องหน้า
เป็นหมู่บ้านชาวเขาที่มีชื่อเสียงของซาปา ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Muong Hoa ห่างจากเมืองซาปาไปเพียง 3 กิโลเมตร หมู่บ้านนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 หลังจากตระกูล H'Mong และ Dzao หลายเผ่ามารวมกันจากพื้นที่ภูเขาอื่นๆ ในเวียดนามเหนือ พวกเขาเริ่มปลูกข้าวและข้าวโพดในภูมิภาคเช่นเดียวกับการทอผ้าและงานหัตกรรมต่างๆ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแลนมาร์คที่พลาดไม่ได้หากได้มาเยือนซาปา
ให้ชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตจากไผ่
เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่าทะเลสาบน้ำเขียว แต่เพราะตำนานที่ว่ากันว่า หลังจากจักรพรรดิเล เหล่ย ได้ใช้ดาบต่อสู้ขับไล่ผู้รุกราน ได้มาประทับบนเรือในทะเลสาบ ได้มีตะพาบยักษ์มาขอดาบคืนเพื่อเอาไปให้จ้าวมังกรผู้มอบดาบแด่จักรพรรดิเล เหล่ย และดาบก็ได้ลอยไปเข้าปากตะพาบและหายไปในน้ำ จึงได้ชื่อใหม่ว่า ทะเลสาบคืนดาบ
เป็นถนนที่มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี ซึ่งเย็นวันศุกร์-อาทิตย์ จะมีตลาดยามค่ำคืน ซึ่งมีของขายมากมาย ซึ่งเมื่อก่อนจะขายของเน้นทางหัตถกรรม แต่สมัยนี้นั้นก็ขายของหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีร้านอาหารข้างถนนเยอะแยะอีกด้วย
เป็นวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เพราะตั้งอยู่บนทะเลสาบคืนดาบซึ่งมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อนานมากๆ แล้ว และมาถูกบำรุงและขยับขยายพื้นที่เมื่อ 150 ปีที่แล้ว
เป็นสะพานสีแดงสดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบคืนดาบ ชื่อของสะพานได้มาจาก “สถานที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในยามเช้า” ซึ่งเหงวียน วัน ซิว (Nguyễn Văn Siêu) กวีและนักค้นคว้าวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มาดำเนินการสร้างไว้เมื่อปี 1865 โดยตัวสะพานเชื่อมต่อระหว่างริมฝั่งกับเกาะเนินหยก สะพานแห่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงฮานอย
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย