เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ตั้งอยู่ในเมืองไฮฟอง ประเทศเวียดนาม รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 2 ล้านคนต่อปี
เป็นเมืองทางตอนเหนือของหมู่เกาะฮาลองเบย์ของเวียดนาม ชื่อฮาลองแปลว่า "มังกรร่อนลง" ซึ่งมาจากตำนานพื้นบ้านในอดีต เมืองนี้ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของเวียดนามตอนเหนือ ที่มีท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญจากการเป็นที่ตั้งของอ่าวฮาลองเบย์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงามติดอันดับโลก
เป็นกระเช้า 2 ชั้น ที่บรรจุคนได้กว่า 180 คน จากด้านบนจะได้เห็นทิวทัศน์ที่แสนสวยงามของอ่าวฮาลองเบย์ ข้ามฝั่งสู่เกาะอีกฝากฝั่งหนึ่งเพื่อให้ทุกท่านได้เปลี่ยนบรรยากาศการชมทิวทัศน์ความสวยงามของอ่าวฮาลองเบย์
เป็นตลาดกลางคืนประจำเมืองฮาลอง ให้ช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก ที่ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการต่อรองสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า หรือสินค้าพื้นเมืองต่างมากมาย
ท่าเรือโห่งไก ตอนเช้าตรู่คนจะค่อนข้างพลุกพล่าน เรือจะเป็นเรือไม้โบราณ มีห้องน้ำ ห้องครัว และดาดฟ้าชมวิว เรือออกจากท่ามุ่งหน้าไปชมถ้ำ เรือจะจอดให้ลง และออกไปรอรับท่านอีกท่าหนึ่งโดยไม่วกกลับมาที่เดิม
ฮาลองบกอยู่ที่เมืองนิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์เก่าแก่เมืองหนึ่งของเวียดนาม และพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ มีภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านรายล้อมอยู่มากมาย ลักษณะคล้ายกับฮาลองเบย์ แต่ที่นี่เป็นน้ำจืดและนั่งเรือพาย ไม่ใช่ขึ้นเรือลำใหญ่เหมือนอย่างที่ฮาลองเบย์ ระหว่างทางล่องเรือนักท่อออเที่ยวจะได้ชมบรรยากาศธรรมชาติอันสุดงดงามของภูเขา พื้นชุ่มน้ำ และทุ่งนา
เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยแห่งอ่าวฮาลองที่ถือได้ว่าเป็นถ้ำที่มีความสวยงามที่สุดในระแวก ซึ่งมาความโดดเด่นตรงที่หินเหล่านี้มีรูปทรงที่มีหลากหลาย แล้วแต่คนจะตีความตามจินตนาการ เป็นถ้ำที่มีความสวยงามมากและมีหินรูปนางฟ้าที่ถูกสร้างจากธรรมชาติติดอยู่ผนังถ้ำอย่างมหัศจรรย์
เป็นหนึ่งในหมู่เกาะหรือหินขนาดใหญ่ในอ่าวฮาลอง ซึ่งชื่อนั้นจะถูกตั้งตามรูปทรงต่างๅ แต่เกาะนี้ มีชื่อว่าเกาะไก่ชน ด้วยลักษณะของเกาะที่มีรูปร่างคล้ายไก่กำลังหันหน้าชนกัน หรือจูบกันแล้วแต่จินตนาการ
เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2519 และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเมืองหลวงของพื้นที่เวียดนามในปัจจุบันเป็นครั้งคราวตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึง พ.ศ. 2345 ฮานอยตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแดง อุตสาหกรรมในเมืองคือเครื่องจักร ไม้อัด สิ่งทอ สารเคมี และงานหัตถกรรม
หุ่นกระบอกน้ำเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลในเทพตำนานกับความรักชาติอย่างรุนแรงซึ่งปลูกฝังกันมาในจิตใจชาวเวียดนาม นักเชิดหุ่นกระบอกจะยืนอยู่หลังฉากในน้ำที่ท่วมถึงเอวแล้วควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นด้วยไม้ไผ่ลำยาว เทคนิคการเล่นได้ถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างมิดชิด แม้ปัจจุบันนี้ นักเชิดหุ่นอาวุโสทั้งหลายยังไม่ใคร่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนรุ่นหลัง แต่ด้วยเกรงว่าวิชาจะดับสูญบางท่านจึงยอมสอน ทุกวันนี้ ชมการแสดง โชว์หุ่นกระบอกน้ำ ศิลปกรรมประจำชาติ เอกลักษณ์ของประเทศเวียดนาม และมีแห่งเดียวในโลก
เป็นถนนที่มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี ซึ่งเย็นวันศุกร์-อาทิตย์ จะมีตลาดยามค่ำคืน ซึ่งมีของขายมากมาย ซึ่งเมื่อก่อนจะขายของเน้นทางหัตถกรรม แต่สมัยนี้นั้นก็ขายของหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีร้านอาหารข้างถนนเยอะแยะอีกด้วย
เป็นสถานที่ที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ประกาศความเป็นเอกราชให้แก่เวียดนามจากฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1945 และตัวจัตุรัสนั้นถูกตั้งชื่อตามชื่อของกลุ่มปฏิวัติ ที่ได้ขับไล่ชาวฝรั่งเศสที่มายึดครองเวียดนาม
เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึงประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ไม่ไกลจากจัตุรัสบาดิงห์ เป็นสถานที่ที่ท่านโฮจิมินห์ได้ยืนประกาศเอกราชให้กับประเทศเวียดนาม
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย