เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย
รู้จักกันในอีกชื่อว่าท่าอากาศยานฟีอูมีชีโน เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ในเมืองฟีอูมีชีโน ห่างจากศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของโรม 35 กิโลเมตรนอกจากนี้ ยังเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารคับคั่งมากเป็นอันดับที่ 27 ของโลกใน พ.ศ. 2552 และเป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินอัลอิตาเลีย ชื่อของท่าอากาศยานชื่อของเลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาวิชาชาวอิตาลี ผู้ออกแบบต้นแบบของเฮลิคอปเตอร์และเครื่องจักรมีปีกบินได้เป็นคนแรกของโลก
ตั้งอยู่ในจังหวัดลาติน่า (LATINA) แคว้นลาซิโอ (LAZIO) แคว้นเดียวกับเมืองหลวงอย่างโรม อยู่ห่างจากกรุงโรมลงไปทางใต้ อยู่กึ่งกลางระหว่างโรมกับเนเปิลส์หรือนาโปลี ชื่อ Sperlonga หมายถึงถ้ำ ซึ่งคงเป็นภูมิประเทศหลักของเมืองนี้
เป็นเมืองๆ หนึ่งในจังหวัด Caserta ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองสำคัญที่ถูกทำลายในระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเมื่ออดีต ซึ่งปัจจุบันในเมืองยังคงมีซากอารยธรรมโบราณแบบโรมันกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของเมือง
เมืองเนเปิลส์ หรือที่นิยมเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า เมืองนาโปลี คืออีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลี มีชื่อเสียงและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และศาสตร์การทำอาหาร ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
เป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก กษัตริย์เชื้อพระวงศ์จากทั่วแคว้นแดนยุโรป มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ดาราเซเลปบริตี้คนดังจากทุกวงการ ณ ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นที่มีไว้ให้ประกวดประชันความร่ำรวยของพวกเขาเหล่านั้น ร้านสินค้าแบรนด์เนมที่มีอยู่ในโลกนี้ เราสามารถพบเห็นได้ทุกยี่ห้อ ถึงแม้ว่าราคาที่แปะป้ายไว้นั้นจะสามารถทำให้คนอย่างเราๆ ได้แต่อ้าปากค้างก็ตาม
อยู่ตอนเหนือของเกาะคาปรี ปากถ้ำมีรูปร่างคล้ายรูกุญแจ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใต้น้ำ ส่วนที่อยู่เหนือน้ำจะสูงกว่าผิวน้ำเพียง 4 ฟุตเท่านั้น ซึ่งเรือเล็กจะเข้าไปในถ้ำได้เฉพาะเวลาน้ำทะเลลด แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านน้ำเข้ามาจากปากถ้ำ จะทำให้น้ำในถ้ำมีสีฟ้าแปลกตาจึงได้ชื่อว่า”บลู กรอตโต้”
นั่งรถรางสู่ตัวเมืองเก่าด้านบนเกาะคาปรี (Capri Center) นำท่านเดินชมเมืองคาปรี ที่บรรยากาศสวยงามน่ารัก มีเวลาให้ท่านเดินเล่นแบบเต็มอิ่มบนเกาะที่มีเสน่ห์ เลือกซื้อสินค้าของฝาก ของที่ระลึก รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเลม่อน (Lemon) พืชท้องถิ่นอันเลื่องชื่อที่กลายเป็นสัญลักษณ์ เลือกนาฬิกายี่ห้อท้องถิ่นแต่ได้มาตรฐานระดับโลก หรือนั่งดื่มกาแฟริมชายฝั่ง ชมบ้านเมืองที่สร้างลดลั่นตามไหล่เขาในบรรยากาศการพักผ่อนสบายๆ สไตล์อิตาลีตอนใต้ที่สวยงามไม่เหมือนใคร
เมืองตากอากาศเล็กๆ ริมอ่าวเนเปิ้ล ตัวเมืองตั้งอยู่บนหน้าผาสูง และไล่ระดับลงมาตามความลาดชันจนลงมาถึงระนาบเดียวกันกับหาดทรายสีเทาที่ได้รับการจัดระเบียบไว้อย่างเรียบร้อย ณ ด้านบนของตัวเมืองออกสู่อ่าวเนเปิ้ล ที่ฝั่งตรงข้าม เราสามารถมองเป็นภูเขาไฟวิซูเวียสยืนเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขาม ภูเขาไฟลูกเดียวกันนี้ที่เมื่อเกือบ 1700 ปีที่ผ่านมาถล่มเมืองปอมเปอีเสียเรียบเป็นหน้ากลอง
เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เคยเป็นเพียงแค่หมู่บ้านชาวประมงค์ แต่ในช่วงทศวรรษ1950 ได้มีนักเขียนชื่อดังที่เขียนบทความและดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาที่เมือง และทำให้หมู่บ้านนี้เจริญเติบโตจวบจนปัจจุบัน
เป็นพื้นที่ที่มีทิวทิศน์อันสวยงามและชายหาดที่เงียบสงบในอามาลฟีโคสต์ ทำให้คนมีชื่อเสียงชอบมาพักผ่อน นอกจากนี้เหล่าคนรวยยังนิยมมาใช้บริการโรงแรม ร้านอาหาร และบาร์ในแถบนี้ด้วย เป็นชายฝั่งทางตอนใต้ของคาบสมุทรซอร์เรนตีเน ของประเทศอิตาลี ที่เริ่มตั้งแต่โปซีตาโนทางตะวันตกไปถึงวิเอตริมาเรทางตะวันออก เมืองที่เรียงรายเป็นระยะ ๆ บนชายฝั่งอามัลฟี่
ที่เดิมเป็นราชรัฐลอมบาร์ดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลีในบริเวณเมืองท่าซาแลร์โน ราชรัฐซาแลร์โนก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 851 จากราชรัฐเบเนเวนโตหลังจากสงครามกลางเมืองที่เนิ่นนานราวสิบปี จากที่มาดั้งเดิมราชรัฐซาแลร์โนสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิคาโรแล็งเชียง แต่ตลอดมาในประวัติศาสตร์ของราชรัฐ ซาแลร์โนก็ปกครองตนเองเหมือนเป็นราชรัฐอิสระนอกจากชั่วระยะหนึ่งที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์
เมืองปอมเปอีตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ถือกำเนิดขึ้นโดยชาวออสกัน ในช่วง 700 ปีก่อนคริสตกาล และถูกผนวกรวมกับอาณาจักรโรมันในช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล เมืองท่าแห่งนี้คือทำเลทองที่เอื้อต่อการทำการค้าและการเกษตร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุจากลาวาภูเขาไฟ ทำให้สามารถปลูกต้นองุ่นและมะกอกได้ดี
เป็นพิพิธภัณฑ์ของเมืองปอมเปย์ซึ่งเป็นโบราณสำคัญที่เป็นสถานที่เป็นเหตุเกิดโศกนาฐกรรมที่ภูเขาไฟระเบิดและพรากชีวิตของคนทั้งเมือง โดยที่ร่างของผู้เสียชีวิตนั้นยังคงเป็นรูปมนุษย์อยู่
เป็นภูเขาไฟอีกหนึ่งลูกที่ยังคงทรงพลังอยู่ อีกทั้งยังมีเรื่องราวจารึกในหน้าประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานอีกด้วย โดยตั้งอยู่ที่ประเทศอิตาลี
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอ ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ โรมเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอิตาลี นอกจากนี้โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย
วาติกันเป็นพื้นที่เอกราชของรัฐ Holy See ที่ตั้งอยู่ภายในกรุงโรมของประเทศอิตาลี วาติกันก่อตั้งขึ้นด้วยสนธิสัญญา Lateran ในปี 1929 เป็นดินแดนที่แตกต่างกันภายใต้ "การครอบครองอย่างเต็มรูปแบบเอกสิทธิ์เฉพาะและอำนาจอธิปไตยและเขตอำนาจศาล" ของ Holy See ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดของกฎหมายระหว่างประเทศ และความเป็นอิสระทางจิตวิญญาณ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐอธิปไตยที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่า สวยงามตระการตา เต็มไปด้วยผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมมากมาย ด้านในมีประติมากรรมอันลือชื่อปิเอต้า (Pieta) ของมิเคลันเจโลและแท่นบูชาบัลแดคคิโน (St. Peter's Baldachin) เป็นซุ้มสำริดที่สร้างโดยจานโลเรนโซ แบร์นินี ซึ่งสร้างตรงบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์ ความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารแห่งนี้ก็แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่มีคุณค่าสำคัญทางศาสนาในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
แท่นบูชาบัลแดคคิโน เป็นแท่นบูชาที่แกะสลักอย่างงดงามโดยจิอาน ลอเรนโซ่ เบอร์นินี่ เป็นซุ้มสำริดที่สร้างโดยจานโลเรนโซ แบร์นินี ซึ่งสร้างตรงบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์
เป็นรูปปั้นฝีมือของศิลปินชื่อดัง "ไมเคิลแองเจิลโล" ตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นรูปปั้นของพระแม่มารีกำลังอุ้มร่างของพระเยซูที่ล่วงลับไปแล้ว
เป็นจุดนัดพบทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกห้อมล้อมด้วยซากอาคารต่างๆ คาดว่าเมื่อก่อนถูกใช้เป็นตลาดหรือศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าเมื่อสมัยยุคโรมัน
เป็นสนามประลองรูปไข่ในกรุงโรมที่เกิดขึ้นมาเมื่อเกือบ 2000 ปีมาแล้ว ตั้งอยู่ที่ใจกลางกรุงโรม สร้างจากหินปูนแบบ travertine หินภูเขาไฟ และคอนกรีตที่ก่อด้วยอิฐ สามารถเก็บผู้ชมได้ประมาณ 50,000 ถึง 80,000 คนในหลาย ๆ จุดของประวัติศาสตร์ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันโคลีเซียมเป็นหนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดมาแวะถ่ายรูปหากได้มาเยือนกรุงโรม นอกจากนี้้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น 1 ใน 7สิ่มหัศจรรย์ของโลกด้วย
เป็นน้ำพุที่น้ำนั้นมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี ที่ชื่อ Nicola Salvi ที่นี่เป็นน้ำพุรูปลักษณ์แปลกที่ใหญ่ที่สุดในเมือง และเป็นหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
เป็นย่านบันไดที่ติดกับแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม ตั้งอยู่บนพื้นเขาระหว่าง Piazza di Spagna ที่ฐานและ Piazza Trinità dei Monti บันได 135 ขั้น ที่นี่ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Francesco de Sanctis และ Alessandro Specchi ในปี 1723 ที่นี่เป็นจุดเดินเที่ยวและถ่ายรูปที่สวยไม่แพ้จุดอื่นในกรุงโรม
รู้จักกันในอีกชื่อว่าท่าอากาศยานฟีอูมีชีโน เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ในเมืองฟีอูมีชีโน ห่างจากศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของโรม 35 กิโลเมตรนอกจากนี้ ยังเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารคับคั่งมากเป็นอันดับที่ 27 ของโลกใน พ.ศ. 2552 และเป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินอัลอิตาเลีย ชื่อของท่าอากาศยานชื่อของเลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาวิชาชาวอิตาลี ผู้ออกแบบต้นแบบของเฮลิคอปเตอร์และเครื่องจักรมีปีกบินได้เป็นคนแรกของโลก
เป็นท่าอากาศยานที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งในตอนแรกเปิดใช้แค่เที่ยวบินภายในประเทศ ในตอนนี้เป็นเสมือนท่าอากาศยานหลักประจำกรุงเทพฯ และยังเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้เดินทางคับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย