All articles abouts เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว

หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น

หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น

08 ม.ค. 62

ญี่ปุ่น ฤดูหนาว ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงยอดนิยมของคนไทยเรา คงด้วยเพราะความเบื่ออากาศเมืองไทยที่ไม่หนาวสักที กับความอยากสัมผัสปุยหิมะขาวโพลนสักครั้งในชีวิต ทำให้ ทัวร์ญี่ปุ่น ฤดูหนาว ขายดีเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ ทัวร์ครับ เลยหยิบ 10 สถานที่น่าพาตัวเองไปฟิน เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาว มาฝากกัน จะมีที่ไหนบ้าง มาดูกันเลยยยย 💨 1.หมู่บ้านชิราคาวะโกะ พิกัด : Shirakawago สถานที่ยอดฮิตและคงจะฮิตไปอีกนานสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาวนี้ เพราะมันสวยจริงๆ แถมเล่นตัวนิดๆ ด้วยเพราะช่วงเวลาที่สวยสุดๆ 1 ปี มีแค่ 4 วันนะจ๊ะ คือวันที่เค้าเปิดไฟ Light Up นั่นเอง ซึ่งในแต่ละปีก็ต้องมารอลุ้นกันครับว่าเค้าจะกำหนดวันเป็นวันที่เท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปดู Light Up ก็สามารถไปเที่ยวได้ตลอดฤดูหนาวเลยนะ สวยไม่แพ้กันนนน ☃️ 2. คลองโอตารุ พิกัด : Otaru ไปฮอกไกโดยังไงก็ต้องไปที่นี่ เพราะถือว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ใครๆ ก็ต้องมาเช็คอินไม่งั้นแปลว่ามาไม่ถึงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่จะมีช่วงเวลา Otaru Snow and Light Path ที่เค้าจะเปิดไฟเรียงรายตามแนวคลอง โรแมนติกได้อีก ถ้าหากใครไปช่วงนี้แล้วเจอคนคุกเข่าขอแต่งงานกันเพียบก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ก็บรรยากาศมันพาไปอ่า ~ 3. Sapporo Snow Festival ยังอยู่กันที่เกาะเหนือของญี่ปุ่นกันบ้าง ฤดูหนาวแบบนี้ หิมะแบบนี้ จะหนีเทศกาลนี้ไปไหนพ้นได้ล่ะครับ เพราะเป็นเทศกาลสุดฮิตที่ผู้คนนิยมไปกัน แถมที่พีคกว่านั้นก็คือการแกะสลักหิมะ ที่ทีมจากประเทศไทยเราไปคว้าแชมป์มาได้ตั้งหลายสมัย ทีนี้ล่ะเจออากาศหนาวให้จุใจกันไป พร้อมกับเจอภาพที่สวยงามของเทศกาลนี้ไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ 4. คิโรโระ สกี รีสอร์ท พิกัด : Kiroro Ski Resort เอ่ยชื่อไปอาจจะยังทำหน้างงๆ กันอยู่ แต่ถ้าพูดว่า รีสอร์ทในหนังเรื่อง “แฟนเดย์” ร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน เพราะที่นี่คือต้นแบบของความโรแมนติก และเป็นที่ที่เหล่านักท่องเที่ยว เหล่าคู่รักต่างจับจองที่เพื่อจะมาที่นี่กันทั้งนั้น นอกจากจะได้เล่นสกีสนุกๆ สร้างประสบการณ์ใหม่แล้ว “ระฆังแห่งความรัก” ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่หลายๆ คนตั้งใจมาขอพรเช่นเดียวกันครับ 5. สวนสัตว์อาซาฮิยามะ พิกัด : Asahiyama Zoo ใครเป็น Animals Lover ต้องมาที่นี่เลยค่ะ เพราะที่นี่คือสวนสัตว์ที่ไม่เหมือนสวนสัตว์ที่ไหนๆ เพราะสัตว์ต่างๆ ของที่นี่ไม่ได้อยู่ในกรง แต่อาศัยอยู่อย่างธรรมชาติครับ ส่วนไฮไลท์ของที่นี่มันสุดแสนจะน่าร๊าก เพราะนั่นคือ ขบวนพาเหรดของเหล่าเพนกวิ้นตัวน้อย ที่พากันเดินเรียงแถวไปหาอาหารนั่นเอง รับรองใครที่ชอบเพนกวิ้นมีกรี๊ดดังๆ แน่นอน 6. ทะเลสาบคาวากูชิโกะ พิกัด : Kawaguchiko อาจจะดูธรรมด๊า...ธรรมดา แต่จริงๆ แล้ว ทะเลสาบคาวากูชิโกะ ก็เป็นที่ยอดฮิตในฤดูหนาวเช่นเดียวกันนะครับ เพราะด้วยความที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โดยมีเบื้องหลังเป็นฟูจิซังอันยิ่งใหญ่ ที่ใส่หมวกแบบเต็มที่ ทำให้เป็นภาพที่น่าประทับใจสุดๆ และขอบอกไว้เผื่อใครยังไม่ทราบ ว่าในฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งที่สุด มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มๆ แน่นอนครับ 7. ดิสนีย์แลนด์ และ ดิสนีย์ซี พิกัด : Tokyo Disneysea จูงมือแฟน ควงแขนคนรักไปที่นี่ด่วนๆ ถ้าอยากได้บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก เพราะในช่วงฤดูหนาวนี่แหละที่ทางดิสนีย์จะประดับไฟ 🎠 ตกแต่งบรรยากาศให้มีความ Festive สุดๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้านในแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในโลกเทพนิยายเลยครับ แล้วถ้าหากวันไหนโชคดีมีหิมะตก คงไม่ต้องอธิบายนะคะว่าจะโรแมนติกมากขนาดไหน 🎡 8. Yamagata Zao Onsen Resort พิกัด :  Yamagata Zao Onsen Resort อีกหนึ่งสกีรีสอร์ทที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก นั่งรถไฟราวๆ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายครับ ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวที่ไม่อยากขึ้นไปภาคเหนือก็ต่างตบเท้ามาที่นี่กัน นอกจากความกว้างใหญ่ให้เล่นสกีได้อย่างจุใจแล้ว ไฮไลท์ของที่นี่อย่าง Snow Monster ที่เป็นต้นสนที่มีหิมะปกคลุม ดูคล้ายตุ๊กตาสโนว์แมน ก็เรียกแขกได้ดีทีเดียวเลยครับ 9. Strawberry Farm กิจกรรมยอดฮิตในญี่ปุ่น ฤดูหนาว ถ้าไม่ชอบหิมะก็มีการเก็บสตรอว์เบอรี่นี่แหละ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนจองตั๋วมาเที่ยวในฤดูนี้ ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่ากันว่าสตรอว์เบอรี่ของญี่ปุ่นลูกใหญ่ แถมยังสดและหวาน ฟินสุดๆ ทำให้หลายๆ คนอยากมาสัมผัสด้วยตนเอง แต่ขอบอกว่าควรจะจองล่วงหน้าก่อนนะครับ เพราะฟาร์มสตรอว์เบอรี่ที่ญี่ปุ่นเต็มไวมากๆ เลย ซึ่งเมืองที่ใกล้ๆ โตเกียวที่ฮิตๆ ก็ที่เมืองจิบะ  10. Jigokudani Monkey Park พิกัด : Jigokudani Monkey Park เหล่าลิงภูเขา หรือลิงหิมะกว่า 200 ตัว จะลงมาแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นในฤดูหนาว โดยหน้าตาของมันช่างน่ารักมากๆ ใบหน้าแดงกล่ำ บวกกับอริยาบทที่กำลังแช่ออนเซ็นอย่างเพลิดเพลินเรียกรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียวค่ะ แต่มาที่นี่ไม่ใช่แค่การชมลิงออนเซ็นเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงการชมวิวภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมดด้วยต่างหาก มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว เพลิดเพลินตามากๆ   ใครมีแพลนไปญี่ปุ่นในฤดูหนาว ก็ลองดู 10 สถานที่ไฮไลท์ที่เรานำมาฝากกันดูนะครับ แต่บอกเลยว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในฤดูหนาวของญี่ปุ่นยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลประดับไฟต่างๆ, ตลาดคริสมาสต์ หรือสถานที่ต่างๆ ที่ประดับไฟและตกแต่งให้บรรยากาศของเทศกาลสิ้นปีสุดๆ เลย   ดู ทัวร์ญี่ปุ่น ราคาสุดคุ้ม ได้ที่ https://tourkrub.co/japan-tour อ่าน >> ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ     

อ่านเพิ่มเติม
เที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ! รวมที่เที่ยว “ญี่ปุ่น” ฤดูนี้ไปไหนดีนะ ??
เที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ! รวมที่เที่ยว “ญี่ปุ่น” ฤดูนี้ไปไหนดีนะ ??

10 ม.ค. 62

มาพูดถึงเรื่องสภาพอากาศกันบ้าง ที่ญี่ปุ่นเนี่ยมีทั้งหมด 4 ฤดูกาล ได้แก่ 🌿 ฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ☀️ ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม 🍂  ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกันยายน - เดือนพฤศจิกายน และ ☃️ ฤดูหนาว เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือว่าเที่ยวได้ทั้งปีเลยนะครับ เพราะแต่ละฤดูก็มีความน่าสนใจแตกต่างกันไป วันนี้ ทัวร์ครับ เลยขอรวบรวมไฮไลท์เด่นๆ ของแต่ละฤดูมาให้ เผื่อเพื่อนๆ กำลังมีแพลนไปญี่ปุ่น แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปฤดูไหนดี จะได้เลือกได้ถูกใจนะครับ ไปดูกันเล้ยยยยย ~ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม) สำหรับฤดูนี้ สิ่งที่พีคฝุดๆ หนีไม่พ้นเลยก็คือ การไปชมดอกซากุระ ครับ ซึ่งมันสวยมว๊ากกก ความสีชมพูละมุน บวกกับอากาศเย็นสบายไม่หนาวเกินไป ทำให้ฤดูนี้ถือว่าเป็น ฤดูยอดฮิตติดชาร์ต ที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนต่างตั้งเป้าไว้จะต้องไปให้ได้ แล้วยิ่งช่วงเวลานี้ประเทศไทยเรากำลังร้อนระอุ การตีตั๋วหนีร้อนไปญี่ปุ่นเลยกลายเป็นอะไรที่ดีมากๆ แต่...ด้วยความที่มันฮิตเนี่ย เค้าเลยจองตั๋วกันข้ามปีเชียวล่ะ !!! แผนที่ : Osaka Castle ซึ่งการไปชมซากุระนั้น ส่วนมากจะไปกันช่วงปลายเดือนมีนาคม - กลางเดือนเมษายน เพราะจากการพยากรณ์การผลิของดอกซากุระในหลายปีที่ผ่านมา ก็จะอยู่ในช่วงนี้แหละครับ โดยซากุระนั้นจะบานจากใต้ขึ้นเหนือ เพราะฉะนั้นจะเริ่มบานที่โอซาก้าก่อน ใครไปเที่ยวแถบคันไซก็แนะนำให้ไปชมดอกซากุระที่ ปราสาทโอซาก้า นะครับ รับรองว่าจะได้ฉากหลังที่สวยเก๋อย่างแน่นอน ส่วนใครที่เที่ยวแถวคันโต หรือแถบโตเกียว ก็ต้องไปที่สวนอุเอโนะเลย รับรองว่าได้ชมซากุระจนจุใจแน่นอน ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม) ถึงแม้ว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้น จะร้อนมากก็ตามที แต่นักท่องเที่ยวก็ไม่หวั่น เพราะยังมีอีกหลายสถานที่สวยๆ และกิจกรรมอีกมากมายให้ทำไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลยล่ะครับ แถมราคาค่าตั๋วยังถูกมากอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ต้องจองข้ามปีก็ได้ตั๋วมาในราคาโปรฯ กันไปเลย โดยกิจกรรมที่นิยมทำกันในฤดูร้อนสุดๆ นั่นก็คือ การไปชมสวนดอกไม้ต่างๆ เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้จะบานสะพรั่ง สวยงามสุดๆ ใครที่เป็น Flower Lover หรือ Blossom girl จะต้องอิน และเลิฟสุดๆ ในการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูนี้ นอกจากนี้ ถ้าพูดถึงฤดูร้อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงทะเลใช่ไหมล่ะ ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกัน มีทะเลสวยๆ น้ำใสๆ ให้เหล่า Beach Lover ได้ไปฟินกันเพียบเลย แผนที่ : Okinawa สำหรับทะเลสวยๆ นั้น เราขอแนะนำที่ เกาะโอกินาว่า เลย บอกเลยว่าสวยมาก น้ำทะเลสีฟ้าเทอคอวยซ์สุดสวย กับท้องฟ้าในวันสดใส ดีต่อใจจริงๆ แถมบินจากกรุงเทพฯ เพียง 4 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง ค่าครองชีพก็ไม่แพงด้วยน๊า ส่วนใครที่เป็นสายทุ่งดอกไม้ ต้องขึ้นเหนือไปที่ฮอกไกโดแล้วล่ะ เพราะทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสวย กับกลิ่นหอมอ่อนๆ รอคุณอยู่ !!! เห็นมั้ยครับบอกแล้วว่าไปญี่ปุ่น ฤดูร้อน ก็มีกิจกรรมให้ทำเพียบไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลยน๊าาาา ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน - เดือนพฤศจิกายน) มาถึงฤดูที่ยืนหนึ่งตลอดกาล ฮิตสุดๆ อะไรก็ฉุดไม่อยู่อย่าง ฤดูใบไม้ร่วง กันแล้วครับ ด้วยความที่อากาศในฤดูใบไม้ร่วงนั้น อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ากำลังเย็นสบาย ไม่ร้อน และไม่หนาวจนปากสั่น ยังใส่โค้ทเก๋ๆ ได้โดยไม่ต้องใส่เสื้อขนเป็ด บวกกับฉากหลังที่มีใบไม้สีส้ม สีแดง ดูสวยงาม ทำให้ฤดูนี้เป็นที่ถูกใจของใครหลายคนสุดๆ และนักท่องเที่ยวก็ต่างตบเท้าเข้ามาไม่ว่างเว้นแต่ละวันเลย กิจกรรมของฤดูนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ในเมื่อมันเป็นฤดูของการชมใบไม้แดง ก็ต้องชมใบไม้แดงให้หนำใจกันไปเลยค่ะ ที่เหลือก็เป็นการตะลุยกิน ชมสถานที่ต่างๆ และตะลุยช้อปแหลก !!! เพราะช่วงนี้ของ Sale เพียบ เพื่อเตรียมเข้าสู่ Winter Season และใกล้สิ้นปี ทำให้เสื้อผ้าเอย ของใช้ต่างๆ เอย ต่างขนขบวนกันมาลดแลกแจกแถมแบบสุดๆ ใครไปเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูนี้ อย่าลืมเตรียมกระเป๋าไปขนของเยอะๆ นะจ๊ะ อ้อ! เกือบลืมบอกจุดชมใบไม้แดงไปเลย ถ้าอยู่โตเกียวบอกเลยว่าอิ่มแน่ๆ เพราะสวยเกือบทุกที่เลยครับ แต่อยากแนะนำให้นั่งรถออกไปที่คาวากูชิโกะก็จะได้ฟินเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะได้เห็นใบไม้แดงแล้ว ยังได้เห็นฟูจิซังใส่หมวกด้วยน๊า ส่วนถ้าใครไปแถบคันไซ ก็อย่าลืมแวะไปทักทายน้องกวางที่นารา และไปวัดคิโยมิสุ หรือวัดน้ำใสที่เกียวโตนะครับ แผนที่ :  Kiyomizu-dera ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์) ปิดท้ายกันที่ความขาวของหิมะญี่ปุ่นกันบ้าง ด้วยความที่เมืองไทยเราไม่มีหิมะตก เพราะฉะนั้นญี่ปุ่น จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางแรกๆ ที่คนจะนึกถึงและตีตั๋วไปสัมผัสอากาศหนาวติดลบและหิมะด้วยตัวเองสักครั้ง เพราะไปง่าย มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ค่าครองชีพก็รับได้ไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนไปยุโรป ทำให้ฤดูนี้ก็ถือว่าเป็นอีกฤดูยอดฮิตเช่นเดียวกันครับ มาเจอหิมะทั้งที กิจกรรมต่างๆ ก็คงหนีไม่พ้นวนเวียนอยู่กับการไป เล่นสกี หรือไปดูหิมะ นั่นแหละ ซึ่งถ้าหากจะเล่นสกี ก็ต้องไปฮอกไกโด เพราะมีสกีรีสอร์ทเจ๋งๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนรออยู่ แต่ถ้าไม่อยากขึ้นเหนือมาก จะอยู่แถบๆ โตเกียวก็ยังมีที่ กาล่า ยูซาว่า อีกที่นะครับ สวยและสนุกไม่แพ้กันเลยล่ะ นอกจากนี้เรายังขอแนะนำให้ไปเยือน ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลก สักครั้ง เพราะเค้าจะสวยที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตกนี่แหละครับ บอกเลยว่าสวยราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเทพนิยายเลยทีเดียว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก ไปเที่ยวญี่ปุ่นฤดูหนาวก็แค่ enjoy festival ไม่ว่าจะเป็นคริสมาสต์ หรือปีใหม่ แค่นี้ก็สุดยอด เป็นทริปที่น่าประทับใจแล้วครับ แผนที่ : Shirakawa-go อ่านจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ตัดสินใจได้แล้วหรือยังครับว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดี ? ให้ทายก็คงแอบมีลิสต์ไว้ในใจแล้วใช่ไหมล่ะ ?? แต่ถ้ายังตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ลองดูโปรแกรมทัวร์กับทัวร์ครับก่อนก็ได้นะครับ เผื่อจะมีที่โดนๆ และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครับ : )    อ่านบทความแนะนำ >>ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด <<      

อ่านเพิ่มเติม
รีวิว “Gala Yuzawa” เที่ยวญี่ปุ่นสกีรีสอร์ท เจอหิมะกันแบบยาวๆ
รีวิว “Gala Yuzawa” เที่ยวญี่ปุ่นสกีรีสอร์ท เจอหิมะกันแบบยาวๆ

14 ส.ค. 62

และที่ๆ เราบอกก็คือ “กาล่า ยูซาว่า” สกีรีสอร์ทสุดฮิตที่คนนิยมไปในญี่ปุ่น เพราะอยู่ใกล้โตเกียวสุดๆ นั่งรถไฟชินคันเซ็นแค่ต่อเดียวก็ถึงที่หมาย แถมยังสามารถไปเช้า - เย็นกลับก็ได้ด้วยนะเออ นอกจากนี้ยังสามารถเที่ยวชมหิมะได้ยาวๆ เริ่มที่เดือนธันวาคมไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมกันเลยทีเดียวครับเอ้า! อย่ารอช้านะแบบนี้   เที่ยวญี่ปุ่น สกีรีสอร์ท กับ Tourkrub    พิกัด:  GALA Yuzawa วิธีเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น สกีรีสอร์ท ที่ “กาล่า ยูซาว่า” ง่ายมาก! ถ้าคุณใช้รถไฟฟ้าของญี่ปุ่นเป็น เรื่องนี้คือเรื่องหมูๆ อู๊ดๆ เลยจ้า เพราะจากสถานี Tokyo เราสามารถนั่ง Joetsu Shinkansen ไปลงที่สถานี กาล่า ยูซาว่า แบบวิ่งตรงไม่เปลี่ยนขบวนได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาทีเท่านั้น นั่งชมวิวข้างทางเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว สนนราคาอยู่ที่ คนละ 14,180 เยน (ไป - กลับ) แถมเป็นตั๋วแบบระบุที่นั่งอีกด้วยนะ สบายฝุดๆ เตรียมตัวไปสนุกที่ “กาล่า ยูซาว่า” แน่นอนว่าด้วยสภาพอากาศที่ไม่ปกติ เพราะค่อนข้างหนาวเย็นและมีหิมะปกคลุม ทำให้เราควรที่จะเตรียมตัวเป็นพิเศษครับ เพื่อจะได้เที่ยวกันแบบฟินๆ นั่นเอง เสื้อผ้า สิ่งแรกที่ควรเตรียมเลยก็คือ เสื้อผ้า ขอบอกเลยว่า เหลือดีกว่าขาด คำนี้ใช้ได้จริงๆ นะครับเพราะถ้าหากใส่หลายชั้น แล้วร้อนเกินไปก็แค่ถอดออก แต่ถ้าใส่น้อยเกินไปจนทนความหนาวไม่ไหวจะหมดสนุกเอาแน่ๆ โดยวิธีจำง่ายๆ ของเราเลยก็คือ ถ้าอุณหภูมิตั้งแต่ 9 องศาลงมา ใส่ 3 ชั้น คือเสื้อด้านใน - ฮีทเทค - และปิดท้ายด้วยเสื้อขนเป็ด บวกออฟชั่นเสริมด้วยผ้าพันคอและถุงมือ ส่วนอุณหภูมิตั้งแต่ 10 - 15 องศา ใส่แค่ 2 ชั้น คือฮีทเทค และเสื้อขนเป็ด บวกออฟชั่นเสริมเช่นกัน แค่นี้ก็เพียงพอ ทั้งนี้ การเลือกเสื้อผ้าอยู่ที่แต่ละคนด้วยนะ บางคนทนความหนาวได้ไม่เท่ากัน แต่จากที่เราบอกไปก็ใส่กันประมาณนี้แหละ ยังไงถ้าเป็นคนขี้หนาวมากๆ ควรเตรียมไปเผื่อนะครับ อุปกรณ์ หายห่วงไปเลย เพราะเที่ยวญี่ปุ่นสกีรีสอร์ท ที่ “กาล่า ยูซาว่า” นั้นมีอุปกรณ์ให้เช่า พวกรองเท้าบูท หรือถุงมือหนาๆ รวมถึงพวกอุปกรณ์เล่นสกีต่างๆ มีครบเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นเรียกได้ว่า ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊งกันไปเลย ขั้นตอน ในการเช่าอุปกรณ์จะมีให้เลือก 3 เซ็ตด้วยกันครับ ซึ่งแต่ละเซ็ตก็สามารถใช้ JR Tokyo Wide Pass เป็นส่วนลดได้ด้วยนะครับ ซึ่งถ้าหากใครเน้นเล่นแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามสะดวกเลย จะเน้นเล่นหิมะ, เน้นเล่นสกี หรือจะเลือกแบบฟูลออฟชั่น (เล่นหิมะ, เล่นสกี และแช่ออนเซ็นสปา) ไปเลยก็ได้ครับ วิธีการเช่าอุปกรณ์ก็คือ ติดต่อที่ Information แจ้งความจำนงกับพนักงานได้เลยว่าเราต้องการเซ็ตไหน จำนวนกี่ใบ แล้วเราก็จะได้ตั๋วมาครับ จากนั้นก็ไปลงทะเบียนเพื่อเช่าอุปกรณ์ มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือเรื่องของไซส์รองเท้า หรือวิธีการใส่อยู่ และจะให้บัตรเรามา บัตรนี้บอกเลยว่าเก็บไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะต้องใช้คืนอุปกรณ์ทั้งหมดในตอนกลับครับ เมื่อได้อุปกรณ์ครบแล้ว เราก็นำของที่เราพกมาไปฝากไว้ในล็อกเกอร์ โดยคิดค่าล็อกเกอร์จากการเปิด ครั้งละ 100 เยน เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรไว้ จะเอาอะไรเก็บ ต้องคิดดีๆ นะครับ เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว เราก็ไปขึ้นกอนโดล่า (กระเช้า) เพื่อขึ้นไปยังลานสกีด้านบนได้เลยครับ บอกเลยว่าใครเตรียมกล้องมา เปิดรอให้พร้อม เพราะในระหว่างที่กระเช้าเลื่อนออกจากสถานีขึ้นไปด้านบน จะเห็นวิวภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ สวยมากกกก ใครอยากได้ภาพสวยๆ ลั่นชัตเตอร์รัวๆ ได้เลยครับ เมื่อถึงด้านบนแล้ว ก็ได้เวลา Enjoy กับกิจกรรมและหิมะที่อยู่ตรงหน้า จะเล่นนานแค่ไหนก็ได้ จะอยู่ทั้งวันเลยก็ได้ เอาให้หนำใจเลย เพราะที่นี่เปิดตั้งแต่เช้า จนถึงประมาณ 6 โมงเย็นเลยทีเดียว  หนีอากาศร้อนๆ มา ได้มาเจออากาศหนาวๆ ฟินๆ พร้อมกับปุยหิมะสีขาวมันเป็นการชาร์จแบตของร่างกายได้ดีจริงๆ นะครับ ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวในช่วงสงกรานต์ อยากให้ลองมาที่ “กาล่า ยูซาว่า” กันดูครับ เริ่มตั้งแต่วันที่: ปลายธันวาคม - ต้นเดือนพฤษภาคม เวลาเปิดปิด ช่วงฤดูหนาว 08:00 - 17:00 ช่วงฤดูใบไม้พลิ 08:00 - 16:00 *วันธรรมดา / 08:00 - 16:30 *วันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์  

อ่านเพิ่มเติม
ตะลึงกับ “เจแปนแอลป์”กำแพงหิมะสูงระฟ้า มหึมา ในญี่ปุ่น !!
ตะลึงกับ “เจแปนแอลป์”กำแพงหิมะสูงระฟ้า มหึมา ในญี่ปุ่น !!

27 ก.ย. 62

ใครไม่รู้จักเจแปนแอลป์ ถือว่าเชยมาก เพราะเจแปนแอลป์เป็นเส้นทางท่องเที่ยวผ่านภูเขาทาเทยาม่า (Mt. Tateyama) ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร บอกเลยว่าไม่ต้องไปไกลถึงยุโรป ก็ได้เห็นเทือกเขาที่สลับซับซ้อนสวยงามได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องเป็นสายผจญภัยสักหน่อยเพราะกว่าจะเดินทางถึงต้องต่อพาหนะมากถึง 8 ครั้งด้วยกัน  แต่พูดเลยว่าถ้าได้ไปสักครั้งหนึ่งในชีวิตถือว่าคุ้มค่ามาก วันนี้ Tourkrub จะพาทุกคนไปเที่ยวชม Snow wall ที่ Tateyama Kurobe Alpine route เส้นทางญี่ปุ่นยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องตกหลุมรัก และอยากจะมาอีกสักครั้ง พูดได้คำเดียวว่า เห็นแล้วจะต้องตะลึงในความสวยงามกับกำแพงหิมะที่สูงระฟ้า มหึมา แถมอยู่ในโซนเอเชียแบบนี้ใครล่ะจะอยากพลาด เจแปนแอลป์สามารถเดินทางด้วยเส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route โดยเริ่มได้ทั้ง 2 ฝั่ง ระหว่างจังหวัดโทยาม่า (Toyama) หรือ จังหวัดนากาโน่ (Nagano) ก็ได้ ทำเลที่ตั้งของสองเมืองนี้ถูกกั้นด้วยภูเขาทาเตยามะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเดินทางผ่านภูเขาไปด้วยพาหนะต่างๆ เส้นทางนี้ทั้งหมด 90 กม. ความสูงของเส้นทาง ก็ประมาณ  500 - 2450 เมตร แต่กว่าจะผ่านได้นั้นก็ไม่ได้ง่ายเลย ต้องเปลี่ยนพาหนะตลอดการเดินทาง เดินเท้าบ้างก็มีเช่นกัน ใครอยากจะมาที่นี่แนะนำให้เผื่อเวลาทั้งวันเพราะถึงแม้ระยะทางจะแค่ 90 กม. แต่หนทางก็โหดอยู่พอสมควรใช้เวลาในการเดินทางเริ่มจากต้นทาง 9-10 ชั่วโมง ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการเปิดทางมากขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าเราจะเดินทางไปที่นี่แนะนำให้ซื้อ  Alpine-Takayama-Matsumoto Area Tourist Pass สามารถเดินทางมาจากสถานี Nagoya มาที่สถานี Toyama ผ่านเส้นทางเจแปนแอลป์ ไปสถานี Matsumoto ในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) และวนกลับมาที่สถานี Nagoya ได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เริ่มต้นเราเดินทางด้วย Toyama Chiho Railroad แนะนำให้มารอแต่เช้า เพราะว่ารถไฟมีที่นั่งไม่เยอะมากถ้าเกิดมาสายอาจจะไม่มีที่นั่งได้ยืนกันยาวแน่นอน ใช้เวลาในการนั่งกว่าจะมาถึง Tateyama ประมาณ 50 กว่าๆ นาที เมื่อมาถึงจุดนี้เราจะต้องเปลี่ยนพาหนะโดยต้องไปแลกพาสเป็นตั๋วสำหรับเส้นทางเจแปนแอลป์ที่บริเวณด้านหน้าสถานีเพื่อนั่ง Tateyama Cable Car ขึ้นไปยังที่ราบ Bijodaira หลังจากขึ้น Cable Car มาเรียบร้อยก็ต้องพาหนะเป็น Tateyama Highland Bus เพื่อขึ้นไปจนถึงสถานี Murodo ตลอดเส้นทางเราจะได้เห็นวิวกำแพงหิมะเตี้ยๆ และภูเขาตลอดทาง ใช้เวลาตรงจุดนี้ประมาณ 50 นาที  มาจนถึงตอนนี้เพื่อนๆ รู้แล้วใช่ไหมคะว่าการเดินทางกว่าจะถึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เพื่อวิวทิวทัศน์ที่สวยงามคุ้มค่าเราก็พร้อมเสี่ยง ผ่านไป 50 นาทีรสบัสก็พาเรามาถึงสถานที่ที่เรารอคอยกันมาตั้งแต่เช้านั่นก็คือ กำแพงหิมะ หรือ Snow wall นั่นเอง กำแพงหิมะนี้ตั้งอยู่ที่ Murodo ความสูงอยู่ที่ 2,450 เมตรถือว่าเป็นจุดที่สูงสุดของ เจแปนแอลป์ ตรงนี้เราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวจุดสูงสุดด้านบนซึ่งเป็นจะเป็นลานหิมะต่อได้อีกด้วย แนะนำการแต่งกายบนเขาอาจจะมีสภาพอากาศที่แปรปรวนเพราะฉะนั้นแนะนำว่าควรหาเสื้อผ้าที่มิดชิดและกันความหนาวได้จะดีที่สุดไม่เช่นนั้นอาจจะหมดสนุกได้นะ มาถึงจุดไฮไลท์ของทริปนี้อย่างกำแพงหิมะที่เรารอคอยถือว่าคุ้มค่าสมกับการรอคอยจริงๆ เพราะด้วยเป็นทางเดินยาวไปตามถนนประมาณ 500 เมตร โอบล้อมด้วยกำแพงหิมะสีขาวสะอาดตา ทางเดินอาจจะลื่นนิดนึงแนะนำให้เดินเกาะเชือกที่เขาทำไว้ให้ถ้าพลาดล้มขึ้นล่ะก็แย่เลย กำแพงหิมะถือเป็นไฮไลท์เด็ดของทริปเจแปนแอลป์ ซึ่งแน่นอนว่าคนเยอะจริงๆ เพราะกำแพงหิมะจะมีแค่ช่วงกลางเดือนเมษายนถึงปลายๆ เดือนมิถุนายน เพราะฉะนั้นใครไม่อยากพลาดประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ควรเช็คเวลา และการเดินทางให้ดีก่อนนะ มาถึงตรงนี้สงสัยกันใช่ไหมว่าเป็นหิมะแท้ๆ ทำไมไม่เปิดช่วงฤดูหนาวล่ะ ก็เพราะว่าช่วงฤดูหนาวหิมะจะตกทับถมลงมาเยอะมากจนไม่สามารถเดินได้เลยล่ะ เขาถึงเปิดแค่ช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงใบไม้ร่วง จะเป็นช่วงเวลาที่กำแพงหิมะสวยที่สุด เมื่อเดินไปตามกำแพงหิมะเรื่อยๆ เราจะได้เห็นกำแพงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยตามทางจะมีจุดวัดความสูงของหิมะที่ตกลงมาทับถมในแต่ละวันให้เราดูได้เลยว่าความสูงของกำแพงหิมะสุดแสนจะใหญ่มหึมานี้สูงมากแค่ไหน โดยจะมี Tateyama Kumataro หรือรถขุดหิมะที่นำทางด้วย GPS คอยเคลียทางให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมกำแพงหิมะได้สะดวกมากยิ่งขึ้น การเที่ยวแบบนี้เราอาจจะไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ความสูงของหิมะในแต่ละวันก็ไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าดวงใครดวงมันน่าจะดีกว่า หลังจากชื่นชมความอลังการของกำแพงหิมะเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับโดยเราจะต้องเดินกลับตามเส้นทางเดิม เอาจริงๆ แล้วเรายังสามารถเดินทางต่อไปตามเส้นทางเจแปนแอลป์ได้อีกยาวไกลเพราะยังมีจุดท่องเที่ยวอยู่อีกหลายจุดแต่ถ้าใครมาเที่ยวแค่กำแพงหิมะ ก็สามารถนั่งรถบัสกลับจากสถานี Murodo ไปตามเส้นทางเดิมได้เลย เที่ยวแบบธรรมชาติแบบนี้มันมีมนต์เสน่ห์ของมันอยู่ในตัวที่นอกจากจะได้เห็นความงามของธรรมชาติแล้วเรายังไม่สามารถไปกำหนดอะไรมันได้อีกด้วย ทำให้เราต้องลุ้นตลอดการเดินทางว่าวันนี้เราจะเห็นมันไหมนะ มันจะเป็นยังไงนะ จะเหมือนในรูปไหม หรือจะเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติไปแบบไหนบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เราชมเชยญี่ปุ่นมากๆ คือการนำธรรมชาติมาทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้แบบไม่ทำลายธรรมชาติยังคงความสวยงามได้แบบพอดิบพอดี วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่เราได้รับประสบการณ์ ได้มาเห็นความงามของธรรมชาติที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ถือว่าทริปคุ้มค่าสมการรอคอย หากอยากพบกับประสบการณ์สุดว้าวแบบนี้ มาจอง ทัวร์เที่ยวญี่ปุ่น กับ Tourkrub กันได้เลย   

อ่านเพิ่มเติม
หน้าหนาวไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นดีกว่า รวม 5 สกีรีสอร์ทในญี่ปุ่นที่ห้ามพลาด
หน้าหนาวไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นดีกว่า รวม 5 สกีรีสอร์ทในญี่ปุ่นที่ห้ามพลาด

10 ต.ค. 62

เข้าใกล้หน้าหนาวแล้ว และหลายๆ คนคงรอคอยที่จะไปเล่นสกีในที่หนาวๆ ที่ญี่ปุ่นเองก็มีสกีรีสอร์ทให้เราได้ไปเล่นกันหลายที่เลย เพราะเล่นสกีที่ญี่ปุ่นนั้น เดินทางง่าย และราคาไม่แพง โดยฤดูกาลเล่นสกีที่ญี่ปุ่นจะเริ่มในช่วงหน้าหนาวค่ะ ในเดือนธันวาคม - มีนาคม แต่ในบางภูมิภาคก็ยังสามารถเล่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้ วันนี้ทัวร์ครับได้รวบรวม Top 5 สกีรีสอร์ทในญี่ปุ่นมาให้แล้ว ตามไปอ่านกันเลย  จองทัวร์ญี่ปุ่น สกีหิมะ กับ ทัวร์ครับ (Tourkrub)   1.Niseko Grandhirafu จังหวัดฮอกไกโด พูดถึงเรื่องสกีรีสอร์ทญี่ปุ่น คงจะไม่พูดถึงชื่อ Niseko Grandhirafu ไปไม่ได้เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นอีกสกีรีสอร์ทที่คนไทยคุ้นหูและไปกันเยอะอันดับต้นๆเลย ตัวสกีรีสอร์ทที่ Niseko จะตั้งอยู่บนภูเขานิเซโกะ อันนูปุริซะส่วนใหญ่ค่ะ และที่ Niseko Grandhirafu เป็นสกีรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุด มีลิฟต์มากถึง 12 ตัว และพื้นที่รอบๆก็เต็มไปด้วยรีสอร์ท ร้านค้าอีกด้วย    2.Shiga Kogen จังหวัดนากาโนะ จังหวัดนากาโนะเองก็มีชื่อเสียงของสกีรีสอร์ทค่อนข้างมากเลยค่ะ อย่าง Shiga Kogen ก็เป็นการรวมกลุ่มของสกีรีสอร์ท 18 แห่งมารวมตัวกันเพื่อเปิดลานสกีขนาดใหญ่ ซึ่งสกีรีสอร์ทที่ Shiga Kogen นั้นจะแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนค่ะ ส่วนแรกจะเป็นพื้นที่จากสูงขึ้นไปถึงยอดเขา Yokote อีกส่วนจะเป็นส่วนที่ขนาบข้าง นอกจากจะเป็นพื้นที่สกีรีสอร์ทแล้ว ยังมีบ่อน้ำพุร้อนและเขตอุทยานด้วยค่ะ และที่นี่เราจะได้พบกับเจ้าลิงที่ชอบแช่น้ำพุร้อนด้วยนะ   3. Biwako Valley โอซาก้า, เกียวโต  บิวาโกะ วัลเล่ย์ เป็นอีกหนึ่งสกีรีสอร์ทที่ทุกคนจะได้พบกับความสวยงามค่ะ ที่นี่อยู่ห่างจากเกียวโตไปเพียง 40 นาทีเท่านั้นเอง ด้วยวิวของทะเลสาปขนาดใหญ่ทำให้ที่นี่เป็นอีกสถานที่ที่หลายๆคนอยากมาสกีรีสอร์ทที่ญี่ปุ่น นอกจากนี้เรายังสามารถนั่งเคเบิลคาร์เพื่อไปชมวิวจากมุมสูงได้อีกด้วยนะ นอกจากวิวที่สวยแล้ว ที่ บิวาโกะ วัลเล่ย์ ยังมีเส้นทางสกีให้เล่นถึง 9 เส้นทาง  อ้อ มีพื้นที่ให้เด็กๆเล่นหิมะกันด้วยนะ ส่วนใครที่ไม่ได้มีสกิลการเล่นสกีมาก่อน แนะนำให้จองคลาสเรียนสกีกับทางรีสอร์ทล่วงหน้าค่ะ จะได้เล่นสกีแบบสนุกและปลอดภัย   4.Tambara Ski Park โตเกียว หากใครที่อยากจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นลองสัมผัสหิมะครั้งแรก ต้องไม่พลาดที่นี่เลยค่ะ Tambara Ski Park โตเกียว เพราะนอกจากสกีรีสอร์ทที่นี่จะไม่ไกลจาโตเกียวแล้ว เพราะที่นี่เป็นเนินไม่สูงมาก เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งหัดเล่นสกีใหม่ๆหรือกระทั้งเด็กๆ ที่นี่ในช่วงหน้าร้อนจะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ ส่วนในหน้าหนาวเขาจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นลานสกีแทนค่ะ   5. Sapporo Kokusai Ski Resort ฮอกไกโด ชื่อของซัปโปโรที่จังหวัดฮอกไกโด ใครๆ ก็ต้องนึกถึงสกีและหิมะอยู่แล้วใช่ไหมคะ เนื่องจากฮอกไกโดอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น แน่นอนว่าอากาศก็คงจะหนาวที่สุดด้วยในช่วงหน้าหนาว ที่ซับโปโร สกีรีสอร์ทที่ดังที่สุคงหนีไม้พ้น Sapporo Kokusai Ski Resort ค่ะ ที่นี่มีเส้นทางสกีทั้งหมดถึง 6 เส้นทาง แต่เส้นทางที่นี่ขึ้นชื่อว่ายากกว่าสกีรีสอร์ทอื่นๆ แต่ไม่ต้องกลัวไปนะคะ ที่นี่เขามีลานสำหรับมือใหม่หัดเล่นพร้อมครูฝึกด้วยจ้า  แต่ละที่ สกีรีสอร์ทญี่ปุ่น มีแต่ที่น่าไปทั้งนั้นเลยค่ะ เผลอแปปเดียวก็หน้าหนาวแล้ว ใครที่กำลังมีแพลนอยากไปลองเล่นสกีหิมะที่ญี่ปุ่นดูสักครั้ง ต้องรีบวางแผนแล้วจองได้เลยนะคะ เดี๋ยวรีสอร์ทเต็มไม่รู้ด้วยน้า

อ่านเพิ่มเติม
เที่ยวญี่ปุ่น หนาวให้สุด แล้วไปหยุดที่ "โทโฮคุ"
เที่ยวญี่ปุ่น หนาวให้สุด แล้วไปหยุดที่ "โทโฮคุ"

12 ธ.ค. 62

เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าใครหลายคนคงนึกถึงเมืองท่องเที่ยวอย่างโตเกียว โอซาก้า หรือฮอกไกโด แต่เราขอบอกเลยว่าญี่ปุ่นยังมีเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ที่ใครหลายคนต้องตกหลุมรัก โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับภูมิภาคโทโฮคุที่เต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ และความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ควรค่าแก่การไปเช็คอิน รวมไปถึงร้านอาหารและของกินห้ามพลาดประจำถิ่นของแต่ละเมืองที่ต้องไปลิ้มลองกันดูสักครั้ง ซึ่งครั้งนี้เราได้ไปเมืองไหนอะไรมาบ้าง ตามเราไปดูพร้อมๆ กันได้เลย รับรองว่าหลังจากอ่านรีวิวนี้ คุณจะต้องอดใจไม่ไหวอยากไปเที่ยวตะลุยเที่ยวโทโฮคุแห่งนี้กันอย่างแน่นอน    จองทัวร์เที่ยวเซนได กับ ทัวร์ครับ (Tourkrub)   DAY 1 : สนามบินนาริตะ >> เมืองเซนได >> Hotel Monte Hermana Sendai >> วัดเอนซึอิน >> พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอุมิโนะโมริ >> ร้านรากิว (ลิ้นวัว) >> SUN MALL ICHIBANCHO  มาเริ่มต้นทริปด้วยการเดินทางออกจากสนามบินนาริตะไปยังเมืองเซนได ซึ่งเราจะเดินทางโดยใช้บริการรถไฟ JR EAST PAST (รถไฟด่วน) ในราคาเหมา 5 วัน ตกคนละประมาณ 19,000 เยน สำหรับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในโทโฮคุได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวัน ซึ่งบอกได้เลยว่าคุ้มค่าและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก โดยเวลาในการเดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองเซนไดจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงด้วยกัน    หลังจากที่เราได้เดินทางมาถึงเมืองเซนไดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ขอตัวไปเช็คอินกันเก็บกระเป๋าและสัมภาระต่างๆ กันที่ โรงแรม Hotel Monte Hermana Sendai ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีเพียงเดินเท้าประมาณ 5-10 นาที เท่านั้น พอเก็บกระเป๋าและฝากสัมภาระต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยก็เตรียมตัวออกไปปักหมุดเช็คอินกันที่แรกกันได้เลยกับสถานที่เที่ยวอย่าง วัดเอนซึอิน วัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองเซนได โดยจุดเด่นของวัดแห่งนี้ก็คือ สวนริมน้ำที่เปิดให้เข้าชมความสวยงามตามรอบระยะเวลา และเอกลักษณ์อันโดดเด่นของการจัดหินและมอส รวมไปถึงป่าไม้สนซีดาร์สำหรับการนั่งทำสมาธิที่บริเวณด้านหลัง ซึ่งสิ่งที่เราสัมผัสได้เลยก็คือ ความเงียบสงบและความเก่าแก่โบราณของสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นวัดที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี  วิธีการเดินทาง: รถไฟสาย JR Senseki >> ไปลงที่สถานี Matsushima-Kaigan    เดินทางกันไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอุมิโนะโมริ ที่เที่ยวที่ถูกอกถูกใจเราเป็นอย่างมาก เพราะเราได้เจอกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลนับหลายสายพันธุ์และสัตว์น้อยน่ารักอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้องเพนกวิน น้องปลาโลมา และปูอลาสก้าขนาดใหญ่ที่หาดูได้ยาก โดยก่อนที่เราจะเข้าชมสถานที่แห่งนี้เราต้องเสียค่าเข้าคนละ 2,100 เยน เพื่อแลกกับการใกล้ชิดและเก็บภาพความประทับใจกับสัตว์น้อยต่างๆ อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยทางเราก็ไม่พลาดกับการถ่ายรูปและกดชัตเตอร์กันอย่างรัวๆ ที่บริเวณด้านหน้าของอุโมงค์ยักษ์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสัตว์น้ำทะเลนานาชนิด วิธีการเดินทาง: ลงสถานี Nakanosakae หลังจากนั้นให้ขึ้นรถบัสฟรีหน้าสถานีเพื่อไปยังหน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ประมาณ 5 นาที    หลังจากที่เราได้เดินเที่ยวชมในโซนต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ขอเตรียมตัวกลับเข้าไปในตัวเมืองเซนได เพื่อไปหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นกันนั่นเอง ซึ่งร้านที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปลิ้มลองจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก ร้านรากิว หรือร้านลิ้นวัวย่าง ของขึ้นชื่อเมืองเซนไดที่ใครมีโอกาสได้มาเยือนแล้วต้องพลาดไม่ได้ โดยทางเราก็ได้สั่งเป็นเซ็ท 4 ชิ้น ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวและน้ำซุปหนึ่งถ้วย ที่ต้องขอบอกเลยว่า ดีงามพระรามแปดเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อสัมผัสของเจ้าลิ้นวัวนั้นมันชั่งนุ่มละมุนในปาก พร้อมกับกลิ่นหอมโชยที่ทำให้เรารู้สึกฟินสุดๆ ไปเลย เรียกว่าประทับใจสุดๆ จ้ะแม่!   พอกินข้าวเสร็จจนอิ่มท้อง เราก็ขอแวะเดินเล่นกันต่อที่บริเวณ SUN MALL ICHIBANCHO แหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองเซนไดที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารอร่อยๆ จำนวนมากมายอย่างละลานตา ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือรองเท้า ABC-Mart และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นแหล่งละลายทรัพย์ชั้นดีที่ทำเอานักท่องเที่ยวอย่างเราอดใจซื้อไม่ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไกลถึงโตเกียวก็มีของที่เราต้องการครบทุกอย่างแล้ว   DAY 2 : ตลาดเช้าเซนได >>  Zao Fox Village >> ปราสาทชิโรอิชิ >> ถนน CRIS ROAD    เช้าวันที่ 2 เราขอเปิดทริปด้วยการไปหาอะไรทานอร่อยๆ กันที่ ตลาดเช้าเซนได ตลาดที่เต็มไปด้วยอาหารท้องถิ่นต่างๆ มากมาย มีทั้งผัก ผลไม้ และของทะเลสดอื่นๆ เช่น หอยนางรม ปลาแซลมอน ที่ต้องบอกได้เลยว่ามันสดและถูกเป็นอย่างมาก โดยตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ชาวญี่ปุ่นมักเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยกันในช่วงเช้าและซื้อของต่างๆ กลับไปทำกินกับคนในครอบครัว ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ไม่แพงมากเท่าไหร่นัก ซึ่งหากใครกำลังจะไปตลาดปลาก็ลองแวะไปที่ตลาดแห่งนี้ดูก่อนได้ เพราะที่นี่ก็มีของให้เลือกชิมอย่างมากมาย รับรองว่าคุณไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน วิธีการเดินทาง: ตลาดเช้าเซนได บริเวณหลังโรงแรม Hotel Monte Hermana ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที   หลังจากที่เราได้เติมพลังและหาอาหารเช้าเข้าปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เตรียมตัวเดินทางกันไปที่ Zao Fox Village ที่เที่ยวขึ้นชื่อที่เราตั้งหน้าตั้งตารอกันของทริปนี้ เพราะสถานที่แห่งนี้ก็คือ หมู่บ้านสุขนักจิ้งจอก น้องหมาน่ารักทั้งหลายที่เราเห็นกันตามรีวิวบนโลกโซเชียลมิเดียว่าดีนักดีหนา วันนี้เราจะไปได้ไปสัมผัสด้วยตาตัวเองพร้อมทั้งใกล้ชิดกับน้องๆ กันเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นและความดีใจขอบอกได้เลยว่าเกินร้อยค่ะคุณ พอเราได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก เราก็ได้รีบมุ่งหน้าเข้าไปที่บริเวณจุดซื้อตั๋ว หลังจากนั้นพนักงานก็จะแจ้งสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำระหว่างเข้าไปหาน้องๆ ว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง ซึ่งกฎง่ายๆ ของที่นี่เลยก็คือ ห้ามจับและห้ามให้อาหารด้วยมือเปล่าเป็นอันเด็ดขาด เพราะเจ้าสุนัขจิ้งจอกทั้งหลายจะไม่ค่อยคุ้นชินกับเรามากนัก ทำให้สามารถเกิดอันตรายต่างๆ ขึ้นได้ และที่สำคัญเราต้องเอากระเป๋าและของมีค่าไว้ข้างหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้น้องๆ เข้ามากัดหรือดึงไปได้  หลังจากที่ได้ฟังกฎข้อบังคับต่างๆ เราก็ได้เดินเข้าไปที่โซนภายในที่เต็มไปด้วยสุนัขจิ้งจอกนอนเรียงรายอยู่ข้างทางเต็มทั่วบริเวณ ซึ่งต้องขอบอกได้เลยว่าน้องๆ น่ารักมาก      โดยเราสามารถให้อาหารเหล่าบรรดาสุนัขจิ้งจอกได้ด้วยอาหารราคาถุงละ 100 เยน เชื่อไหมว่าตอนที่เราให้อาหารน้องๆ นั้น แต่ละตัวก็วิ่งเข้ามารับอาหารกันเต็มไปหมด ซึ่งบางตัวก็จะรออาหารอย่างใจจดใจจ่อด้วยสายตาที่มีความเจ้าเล่ห์และรอคอยด้วยความหิวโหย  และหากใครอยากใกล้ชิดกับน้องๆ ให้มากขึ้น ก็สามารถออกมาถ่ายรูปและอุ้มน้องๆ ได้ที่บริเวณภายนอก โดยเราต้องจ่ายค่าเสียหายกันอีกคนละ 600 เยน เพื่อแลกกับการสัมผัสและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับน้องๆ ได้อย่างใกล้ชิดนั่นเอง  วิธีการเดินทาง:  ลงสถานี Shiroishi-Zao จากนั้นก็นั่งรถแท็กซี่จากหน้าสถานีต่อไปที่ Zao Fox Village ประมาณเที่ยวละเกือบ 4,000 เยน    มาตะลุยกันต่อที่ ปราสาทชิโรอิชิ เพื่อไปชมความงดงามและความเก่าแก่ของปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะที่ฟังดูแล้วก็น่าค้นหาเป็นอย่างมาก แถมบริเวณภายนอกยังมี ดอกซากุระให้เราได้เดินชื่นชมและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกลับมาได้อีกหลายช็อต ซึ่งหากใครได้มีโอกาสมาที่หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแล้ว ก็สามารถแวะมาเช็คอินกันต่อที่ปราสาทแห่งนี้ได้ เพราะภายในปราสาทจะมีชุดซามูไรของสมัยโบราณที่เราสามารถสวมใส่และถ่ายรูปได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น  หลังจากที่ได้เดินทางท่องเที่ยวกันมาทั้งวัน ก็ถึงเวลากลับไปยังเมืองเซนได ซึ่งเย็นนี้เราได้แพลนว่าจะไปเดินเล่นกันที่ ถนน CRIS ROAD ถนนสายโรแมนติกที่คนส่วนใหญ่มักเดินทางมาเพื่อชมไฟที่เปิดระยิบระยับอย่างสวยงาม พร้อมทั้งสัมผัสกับบรรยากาศในยามค่ำคืนของเมืองเซนไดกันแบบชิลๆ เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์เด็ดที่ควรค่าแก่การมาถ่ายรูปสวยๆ และโพสท่าเป็นอย่างมาก ยิ่งหากใครได้ไปกับคนรู้ใจแล้วละก็คุณจะต้องฟินอย่างแน่นอน  DAY 3 : Sendai>> Yamagata >> Hotel Richmond Hotel Yamagata-ekimae >> ZAO >> Yamadera   ขอบคุณรูปภาพจาก Richmond Hotel Yamagata-ekimae   เริ่มต้นเช้าวันที่สามด้วยการออกเดินทางออกจากเมืองเซนได เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองยามากะตะ เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติและยังเป็นเมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อนอันเก่าแก่ และมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยในการเดินทางมาที่เมืองยามากะตะแห่งนี้ สามารถเดินทางมาจาก JR Sendai เพื่อมุ่งหน้ามาสู่ JR Yamagata ซึ่งในการเดินทางมาที่นี่เราจะมาพักกันที่ Hotel Richmond Hotel Yamagata-ekimae ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากนัก เพียงใช้เวลาในการเดินทางแค่ 5 นาที และเมื่อเราเดินทางมาถึงที่โรงแรมกันเรียบร้อยก็ทำการฝากกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ภายในเมืองยามากะตะกัน หลังจากทำการเก็บกระเป๋าเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเราก็จะพาทุกคนไปชมบรรยากาศความสวยงามของหิมะกันที่ ภูเขาไฟ ZAO เพื่อไปดูเจ้า Snow Monster หรือปีศาจหิมะ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเด็ดของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ โดยในการเดินทางเราจะนั่งรถบัสที่บริเวณสถานีรถไฟ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ZAO Rope Way เพื่อเดินต่อไปขึ้นกระเช้าไปยังบริเวณด้านบนของภูเขาหิมะ โดยตารางรอบรถบัสจะมีการแจ้งเวลารถเข้าท่าและรถออกจากท่าให้เรียบร้อย ซึ่งเราต้องทำการดูรอบระยะเวลาให้ดี เพื่อจะได้ทราบว่าจะกลับรอบรถบัสรอบไหน  เมื่อทำการซื้อตั๋วรถบัสเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าขึ้นมายังภูเขา ที่ต้องบอกเลยว่าอากาศข้างบนหนาวมากๆ ควรใส่เสื้อผ้าอุ่นๆมาให้พร้อม เพราะตรงบริเวณที่ลงรถนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องเดินต่อขึ้นไปอีกเพื่อไปขึ้นกระเช้าไปยังจุดสูงสุดของตัวภูเขาที่จะสามารถมองเห็นปีศาจหิมะได้อย่างชัดเจน  และเมื่อขึ้นมาบนกระเช้าแล้วนั้นต้องบอกเลยว่าตื่นเต้นมาก เพราะบรรยากาศจะค่อยๆ หนาวขึ้นๆ พร้อมกับวิวภูเขาหิมะที่หนาขึ้นตามลำดับ โดยต้องบอกก่อนว่าในส่วนของตัวกระเช้านั้นจะมีจุดแวะด้วยกันสามจุด โดยจุดสุดท้ายจะเป็นจุดที่สูงและหนาวที่สุด ซึ่งมีอุณหภูมิถึง -13 องศาด้วยกัน หากใครที่คิดว่าขึ้นมาถึงจุดนี้ไม่ไหวละก็แนะนำให้อยู่ถ่ายรูปที่บริเวณจุดที่สองก็ได้ แต่ถ้าหากใครสู้ต่อมาจนถึงจุดสุดท้ายแล้วละก็จะได้มาสัมผัสกับบรรยากาศที่สวยงามมากๆ โดยวิวของข้างบนส่วนใหญ่จะเป็นวิวของหิมะ และองค์พระพุทธรูป ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน จนทำให้เห็นเป็นภาพที่สวยงาม ซึ่งบริเวณจุดด้านบนนี่สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้อย่างเพลิดเพลินหรือหากใครที่หนาวและอยากหาที่หลบไอเย็นแล้วละก็ สามารถเข้าไปนั่งรับประทานเครื่องดื่ม รวมไปถึงอาหารได้ที่บริเวณคาเฟ่ด้านข้างได้อีกด้วย รับรองได้เลยว่าฟินสุดๆ ไปเลย เมื่อเราเที่ยวชมภูเขา Zao เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นก็ได้เวลานั่งรถบัสกลับมายังสถานี เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไปยัง วัด Yamadera โดยการนั่งรถไฟจาก Yamagata เพื่อมาลงที่ Yamadera หลังจากนั้นก็เดินต่อมาอีก 5 นาที ก็จะพบกับวัดที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก โดยวัดแห่งนี้นั้นเป็นหนึ่งในวัดที่ชาวบ้านให้ความสำคัญและนิยมเดินทางมาเพื่อกราบไหว้ขอพรเป็นอย่างมาก ซึ่งหากใครที่เดินทางมาที่เมือง Yamagata แห่งนี้แล้วก็ต้องห้ามพลาดเดินทางมาที่วัดแห่งนี้ เพราะนอกจากจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือแล้วนั้น บริเวณตัววัดยังเต็มไปด้วยการตกแต่งของสภาปัตยกรรมที่มีความสวยงาม และยังมีบริเวณจุดชมวิวบริเวณศาลาด้านบนที่มีความสวยงามอย่างมากเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ขอเข้าไปกราบไหว้เพื่อขอพร และเดินเที่ยวชมรอบบริเวณวัด ก่อนเดินทางกลับที่พักไปพักผ่อนเตรียมลุยกับวันพรุ่งนี้กันเลย   DAY 4 :   Ginzan onsen>>Narita   หลังจากพักผ่อนกันเต็มอิ่มแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับ ซึ่งในเช้าวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปเที่ยวกันที่ Ginzan Onsen หรือ ที่รู้จักกันว่าหมู่บ้านโอชิน โดยเราจะออกเดินทางจาก Yamagata เพื่อมุ่งหน้าไปที่สถานี Oshida หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสไปยัง Ginzan Onsen    ต้องเล่าก่อนว่าหมู่บ้านเเห่งนี้นั้นเป็นหมู่บ้านที่มีความโด่งดังอย่างมากในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายทำของหนังชื่อดังอย่างโอชินจึงทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเพื่อถ่ายรูปและเที่ยวชมความสวยงามในบริเวณหมู่บ้าน โดยในการเที่ยวชมบริเวณรอบหมู่บ้านนั้น ก็สะดวกสบายมากๆ เพราะบริเวณหน้าทางเข้าจะมีจุดประชาสัมพันธ์ที่เราสามารถเดินเข้าไปขอข้อมูลรายละเอียดแผนที่ภายในหมู่บ้านได้ ซึ่งต้องขอบอกว่าแผนที่ของที่นี่นั้นมีเกือบครบทุกภาษาเลยทีเดียว หากใครที่เดินทางมาก็หมดก่วงได้เลย หลังจากที่ทำการขอแผนที่เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ขอพาทุกคนไปเดินชมความสวยงามของบ้านเรือนในบริเวณนี้ที่ส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการเป็นเรียวกังสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาพักผ่อนและแช่ออนเซ็น โดยภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะมีทั้งออนเซ็นของทางเรียวกัง และออนเซ็นสาธารณะที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าอยากจะใช้บริการรูปแบบไหน แต่แนะนำว่าหากใครที่จะมาพักเรียวกังแล้วละก็ต้องทำการจองก่อนล่วงหน้านานเลยทีเดียว เพราะเรียวกังที่นี่นั้นเต็มเร็วมาก ยิ่งช่วงหน้าหนาวด้วยแล้วนั้นคิวยาวกันเลยทีเดียว เมื่อเดินชมความสวยงามกันมาสักพักใหญ่ๆแล้วก็เดินต่อมายังบริเวณด้านในสุดของตัวหมู่บ้านจะเจอกันสะพานเล็กๆที่มีร้านอาหารอยู่ด้านใน เป็นร้านอาหารที่หากใครแวะมาที่หมู่บ้านนี้แล้วละก็ต้องแวะมารับประทานที่นี่เลย เพราะร้านนนี้โด่งดังในเรื่องของเส้นโซบะทำเอง ที่มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม สามารถทานได้ทั้งแบบร้อนและเย็น โดยเนื้อสัตว์ของทางร้านจะเป็นเนื้อเป็ด เพราะจะช่วยให้ความอบอุ่นกับร่างกายได้ดีกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ นอกจากนี้ภายในยังมีบริการแช่ออนเซ็นแบบเช่าตามระยะเวลา หากใครที่อยากมาลองแช่แล้วละก็แวะมาได้ที่ร้านนี้เลย หรือ ถ้าหากใครไม่อยากเสียตัง ก็สามารถนั่งแช่เท้าได้ตามบริเวณลำธารด้านหน้าหมู่บ้านที่ เปิดให้บริการแช่เท้าฟรีได้เลย หลังจากเที่ยวชมบรรยากาศ และถ่ายรูปกันเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วละก็ อย่าลืมซื้อของฝากกันกลับไปด้วยนะ โดยของฝากที่มาแล้วห้ามพลาดเลยก็คือโมจิงาดำ ที่มีรสชาติหอมมันกลมกล่อ เนื้อโมจิเหนียวนุ่มสามารถทานได้อย่างฟินๆกันเลยทีเดียว แนะนำเลยว่าใครมาห้ามพลาดของฝากชิ้นนี้เลย ว่าแล้วเราก็ของตัวไปซื้อของฝากก่อนเดินทางกลับไปยังสนามบินนาริตะกันก่อนเลย เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 4 วัน 3 คืนที่โทโฮคุ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเมืองโทโฮคุแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองในประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร ทำให้กลายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางกันเข้ามา หากใครที่ยังไม่เคยมาสัมผัสเมืองนี้แล้วละก็ แนะนำว่าให้เดินทางมาดูสักครั้งหนึ่งแล้วคุณจะหลงรักกับความสวยงามและบรรยากาศของเมืองนี้อย่างแน่นอน 

อ่านเพิ่มเติม