All articles abouts เที่ยวญี่ปุ่น

6 สิ่งไม่ธรรมดา! แห่ง สนามบินนิวชิโตเสะ ฮอกไกโด

6 สิ่งไม่ธรรมดา! แห่ง สนามบินนิวชิโตเสะ ฮอกไกโด

25 มิ.ย. 61

        สนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose Airport) ประตูด่านแรกที่เปิดต้อนรับคุณเมื่อเดินทางไปฮอกไกโด แต่สนามบินนิวชิโตเสะ ไม่ได้มีดีแค่สนามบินเท่านั้นนะคะ เพราะที่นี่แหล่งรวมความบันเทิงขนาดย่อม ให้นักเดินทางได้ชิม ชิล ช้อป แต่ว่าจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาในสนาบินนี้บ้างนั้น ตามทัวร์ครับมาเลยค่ะ         สนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose Airport) หรือ ชิง-ชิโตะเสะ (Shin Chitose) เป็น สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด มีทั้งไฟลท์บินจากต่างประเทศ และในประเทศ และตอนนี้การบินไทยได้มีเที่ยวบินมาลงตรงที่ฮอกไกโด โดยลงที่สนามบินนิวซิโตเสะ ทำให้คนไทยสะดวกสบายในการไปฮอกไกโดมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องให้เหนื่อยเลยค่ะ และเมื่อมาถึง สนามบินนิวชิโตเสะแล้ว ทัวร์ครับขอแนะนำว่าคุณควรเผื่อเวลามาเดินเล่นชิลๆ ด้วยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าทัวร์ครับไม่เตือน แต่เอ้!! ในสนามบินแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ตามทัวร์ครับไปดูกันเลยดีกว่า  สวรรค์ของคนรักโดเรม่อน : Doraemon Wakuwaku Sky Park           สำหรับพิกัดแรก ขอเอาใจแฟนๆคนรักแมวไม่มีหูสีฟ้ากันหน่อยดีกว่า นั้นก็คือ โดราเอม่อน การ์ตูนในวัยเด็กของใครหลายๆคน มาถึงถิ่นทั้งที ต้อไม่พลาดแวะไปชม พิพิธภัณฑ์โดราเอมอน (Doraemon Wakuwaku Sky) Park กันสักหน่อยค่ะ           พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน Doraemon Wakuwaku Sky Park  ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 โซน Smile Road เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10:00 -18:00 น. ภายในจะมีฉากจำลองจากตอนที่น่าประทับใจมากมาย เช่น ห้องนอนของโนบิตะ สนามเด็กเล่น ไทม์แมชชีน หรือตู้จัดแสดงของวิเศษในกระเป๋าของโดราเอมอน ทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกการ์ตูนโดราเอม่อน และยังมี Library ห้องสมุดวิเศษของโดราเอม่อน คลังรวมรวบข้อมูลการ์ตูนโดราเอม่อน และมีกิจกรรมน่าสนใจ ให้ได้ร่วมสนุกกันด้วย           ส่วนในเรื่องอาหารการกิน ที่นี่ก็ไม่แพ้ใคร เพราะ มีเมนูอาหารให้เลือกมากมาย และที่สำคัญเลยคือน่ารักสุดๆค่ะ เพราะทุกจานจะมาในรูปแบบของโดราเอม่อน โดยมีเมนูเด็ดที่ห้ามพลาดคือ ไทยากิ (Taiyaki) รูปโดราเอม่อน และโดรามี่ที่ทั้งน่ารักแล้ว  รสชาติก็อร่อยมาก ๆ อีกด้วยค่ะ ดินแดนสีชมพู: Hello Kitty Happy Flight             มาต่อกันที่ดินแดนแห่งคนรักสีชมพู Hello Kitty Happy Flight ธีมพาร์คขนาดเล็กของคิตตี้กับคอนเสปเดินทางรอบโลกด้วยสายการบินคิตตี้ ด้านในจะแบ่งออกเป็นโซนเอเชีย โซนยุโรป และโซนอเมริกา ที่จัดออกมาได้น่ารัก สดใส สมกับเป็นดินแดนคิตตี้จริงๆเลยค่ะ           คุณจะได้สนุกเพลิดเพลินกับแอนิเมชันสุดน่ารักที่ Hello Theater  หรือจะถ่ายรูปสุดแบบคิ้วๆ กับเหล่าคิตตี้น่ารักๆที่ Eurpean Plaza รวมถึงโซนสนุกๆอื่นอีกมากมาย และยังสามารถช้อปของที่ระลึกสุดน่ารักหลากหลายรูปแบบจาก Hello Kitty เปิดให้ทำการตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. แหล่งละลายทรัพย์ (Shopping Area)           สนามบินแห่งนี้มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายครอบคลุมทั้งอาคารผู้โดยการ เรียกได้ว่าเป็น สวรรค์น้อยๆของคนที่รักการช้อปปิ้ง เลยค่ะ มีทั้งร้านของฝาก ของที่ระลึก สินค้าแบรนด์เนม อาหารทะเล ขนม ของหวาน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์จากฮอกไกโด และร้าน Duty Free ที่ให้คุณได้เลือกช้อปกันเต็มอิ่ม โดยมีร้านไฮไลท์ที่เหล่าสาวกคนชอบช็อคโกแลตไม่ควรพลาด ก็คือ           Rocye’ Chocolate World ร้านช็อกโกแลตชื่อดังของญี่ปุ่น และร้าน  Caramel Kitchen จากกลูลิโกะ ร้านของฝากสุดพรีเมียมที่ซื้อไปฝากใครๆ ก็ต้องชอบกันทุกคนแน่นอน ทัวร์ครับขอคอนเฟิร์มค่ะ ชิมของอร่อยฮอกไกโด (Taste Of Hokkaido)        เดินช้อปกันจนเมื่อย ก็ต้องหาอะไรรองท้องเติมพลังกันสักหน่อย และแน่นอนสนามบินนิวชิโตเซะแห่งนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะที่นี่ มีทั้งร้านอาหารหลากหลายชนชาติให้เลือกชิม และเป็นแหล่งรวมร้านราเมน ร้านขนมหวานชื่อดังจากทั่วฮอกไกโดมาไว้ให้ภายในสนามบินนิวชิโตเซะแห่งนี้ หากใครยังไม่อิ่ม ที่สนามบินนิวชิโตะยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหารทะเลสดชื่อดังของฮอกไกโดให้ได้ชิมความสด อร่อยจากทะเลญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่ว่าใครทีได้ชิมอาหารทะเลของฮอกไกโดต่างติดใจกันทุกรายค่ะ  มุมถ่ายภาพสุดชิค (Let’s take a picture!)          หนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการไปเที่ยวคือ สถานที่สวยๆให้ได้ถ่ายรูปชิคๆ ซึ่งสนามบินชิโตะเซก็ต้องไม่พลาดที่จะนำเสนอความเป็นฮอกไกโดอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยการจัดตกแต่งสนามบินให้เหล่านักเดินทางได้เห็นมุมมองต่างๆของฮอกไกโด มีหลายมุมที่น่ารักๆให้ถ่ายรูปมากมาย รับรองว่าคุณต้องมีรูปถ่ายสวยๆกลับไปลงโซเซียลอย่างแน่นอนเลยค่ะ Wi-Fi ฟรี แรง เร็ว ไม่มีสะดุด          และสุดท้ายเรียกได้ว่าเป็นแขนอีกข้างของชีวิตเราก็ว่าได้ ไม่สามารถขาดได้แม้แต่วินาทีเดียวก็คือ อินเตอร์เน็ต (Internet) หากไปไหนมาไหนไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ก็เหมือนจะขาดใจใช่ไหมล่ะค่ะ แต่ที่นี่ สนามบินนิวซิโตเสะ มีบริการ Wi-Fi ให้ใช้กันฟรีๆ ใช้งานง่ายเพียงต่อสัญญาณไวไฟ และยอมรับเงื่อนไขของสนามบิน คุณก็มีแน็ตแรงๆ ใช้กันฟรีๆ ให้การอัพโหลดเรื่องราวดีๆ ของคุณแบบไม่มีสะดุดแน่นอนค่ะ         เห็นไหมคะว่าสนามบินนิวชิโตเซะแห่งนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจมากมาย แต่จะดีจริงอย่างที่ทัวร์ครับเล่าให้ฟังหรือเปล่านั้น ทัวร์ครับบอกเลยว่าของแบบนี้ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ ไปเที่ยวฮอกไกโด เยือนสนามบินนิวชิโตเซะกันง่ายกับทัวร์ฮอกไกโดจากทัวร์ครับ เที่ยวฮอกไกโดครั้งนี้ประทับใจแน่นอน ครั้งหน้าทัวร์ครับจะมีเรื่องน่าใจอะไรมาเล่าให้ฟังอีกนั้น ต้องคอยติดตามค่ะ [ ฮอกไกโด Go Go เที่ยวได้ทั้งปี ]  

อ่านเพิ่มเติม
ห้ามพลาด! เปิดวาร์ปพิกัดชม ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 จากทั่วโลก
ห้ามพลาด! เปิดวาร์ปพิกัดชม ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 จากทั่วโลก

06 ก.ค. 61

        เผลอแป๊ปเดียว ก็ใกล้จะถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย กับฤดูกาลแห่งภาพความสวยงามประจำปี ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาปลายปีเท่านั้นกับ ใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเวลาที่คนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวกันอย่างคึกคัก ประจวบเหมาะกับวันหยุดต่างๆ รวมถึงสภาพอากาศที่เย็นกำลังดี เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หลายท่านคงกำลังมองหาที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2019 กันอยู่ ทัวร์ครับจึงไม่พลาด รวบรวม พิกัด...เส้นทางยอดฮิตสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2019 นี้ พร้อมแล้วก็ตามทัวร์ครับมาดูกันเลยดีกว่าครับ สำหรับเส้นทางในการชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม 2019 ที่ทัวร์ครับขอแนะนำก็คือ... ยุโรปตะวันออก (East Europe)    Neuschwanstein Castle, Germany         เส้นทางทัวร์ยุโรปตะวันออกก็จะเป็นประเทศ เยอรมัน (Germany) เชค (Czech Republic) ออสเตรีย (Austria) และฮังการี (Hungary) ซึ่งเป็นเส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสียอดฮิต สำหรับสายเที่ยวที่อยากจะไปสัมผัสความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางบรรยากาศและสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปนั่นเองครับ  Cesky Krumlov, Czech Republic         ซึ่งใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละเมืองของยุโรปตะวันออก ก็เริ่มเปลี่ยนสีกันในช่วง เดือน กันยายน - เดือนพฤศจิกายน ภาพบรรยากาศของสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปก็จะเริ่มถูกแต่งแต้มสีสันด้วยสีส้ม แดง น้ำตาล บวกกับอากาศที่เย็นกำลังดี อยู่ที่ประมาณ 10 องศา - 18 องศา ไม่หนาวจนเกินไป กำลังดีสำหรับการดื่มด่ำท่ามกลางบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสุดโรแมนติค และสถาปัตยกรรมแสนคลาสสิตสไตล์ยุโรปสุดอลังการ แค่คิดก็รู้สึกฟินแล้วล่ะครับ         บอกเลยว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2018 นี้ เส้นทางทัวร์ยุโรปตะวันออก จะทำให้คุณได้ดื่มดำกับความสวยงาม โรแมนติคจนฟิน เต็มอิ่มจุใจกันอย่างแน่นอนคร๊าบบ... ญี่ปุ่น (Japan) Korankei, Japan          พูดถึงสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี 2018 ทั้งที หากไม่พูดถึง ญี่ปุ่น ก็คงจะถือว่าพลาดมากๆเลยครับ เพราะญี่ปุ่น นั้นถือเป็น จุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทยในการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากความสวยงามระดับโลกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้การยอมรับแล้ว แต่ละพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นก็ยังมีบรรยากาศและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป บางคนถึงกับตั้งเป้าหมายในการเก็บสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นเลยก็มีครับ เพราะเมื่อเข้าช่วงเดือนตุลาคม - ปลายเดือนพฤศจิกายน ญี่ปุ่นก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นขึ้น แต่ไม่หนาวจนเกินไป ใบไม้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีส้ม แดง น้ำตาล ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ฮอกไกโด (Hokkaido) โตเกียว (Tokyo) โอซาก้า (Osaka) และ นาโกย่า (Nagoya) โดยเฉพาะ หุบเขาโครังเค (Korankei) ซึ่งจะอยู่ในทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี เส้นทางนาโกย่า ซึ่งได้รับเสียงการันตีจากเหล่านักล่าใบไม้เปลี่ยนสีว่า เป็นที่สุดของใบไม้เปลี่ยนของญี่ปุ่น ครับ         เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว สำหรับใบไม้เปลี่ยนสี 2019 นี้ ทัวร์ครับบอกเลยว่าต้องรีบจองทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี ต้องรีบไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ เพราะแพคเกจเต็มเร็วมาก จะได้รู้ว่าดีจริงหรือเปล่า ? ใครไปมาแล้วก็อย่าลืมมาเล่าให้ทัวร์ครับฟังกันได้นะครับ >>>แพคเกจทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี 2018 จากทัวร์ครับ จองเลย!<<< เกาหลี (South Korea)           มาต่อกับอีกหนึ่งประเทศที่ฮอตฮิตไม่แพ้ญี่ปุ่นเช่นกัน กับประเทศเกาหลี ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ทัวร์ครับขอแนะนำ สำหรับเส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019  อย่างใน โซล (Seoul) เมืองหลวงแสนทันสมัย ซึ่งภายในโซลนั้นมีหลายจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีครับ ไม่ว่าจะเป็น โซลทาวน์เวอร์ (N Seoul Tower) ที่เราจะได้เห็นภูเขาทั้งลูกเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง รวมถึง พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung) สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลียอดฮิต ที่ทุกคนต้องเคยไป! เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ภายในพระราชวังเคียงบกกุงก็จะกลายเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดโรแมนติคของเกาหลีเช่นกันค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปสัมผัสความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลีมาก่อน ทัวร์ครับขอแนะนำให้ลองไปสักครั้งค่ะ เพราะว่าดีงามไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย เพราะงั้น ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 นี้ลองหาโอกาสไปลองให้ได้สักครั้งนะครับ  ไต้หวัน (Taiwan)         มาถึงประเทศสุดท้าย ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ไต้หวัน นั้นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เหมาะกับการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019 เช่นกันนะครับ เพราะไต้หวันนั้นเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เราจึงจะสามารถพบเห็บใบไม้เปลี่ยนสีได้ตามอุทยานแห่งชาติของไต้หวัน แน่นอนว่าโด่งดังที่สุดก็คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก อุทยานอาลีซาน (Alishan National Scenic Area) ที่จะเต็มไปด้วยสีสันจากสี เข้ม อ่อน สลับกันจากต้นไม้นานาพันธุ์ ภายในอุทยาน ที่กำลังแข่งกันแต่งแต้มสีสันให้กับอุทยานแห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม ยาวไปจนถึงเดือนมกราคม หากใครกำลังมองหาสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2019 ที่ไม่เหมือนใคร ทัวร์ครับบอกเลยว่า ต้องไปสัมผัสที่ไต้หวันครับ รับรองติดใจแน่นอน         ว้าวว...สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019 แต่ละที่เด็ดๆทั้งนั้น เรียกได้ว่ากินกันไม่ลงเลยทีเดียว แต่ละที่ต่างก็มีความสวยงามและสเน่ห์ที่เป็นของตัวเอง เอาเป็นว่าใครชื่นชอบสไตล์ไหน ก็ต้องรีบไปโดนกันแล้วละครับ ทัวร์ครับขอแนะนำให้รีบจองตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะ ทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสีนั้นฮอตมาก จองช้า อดไปจะเสียใจแย่ จะหาว่าทัวร์ครับไม่เตือนนะครับผม!  

อ่านเพิ่มเติม
เคล็ด (ไม่) ลับ ชมใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น ให้ฟินกว่าเดิม!
เคล็ด (ไม่) ลับ ชมใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น ให้ฟินกว่าเดิม!

18 ก.ค. 61

        เมื่อเข้าสู่ปลายเดือนตุลาคม ถือเป็นอีกช่วงที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างหลั่งไหลกันไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างคึกคัก เพื่อไป ชื่นชมความงดงามของเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่่ญี่ปุ่น นั่นเองค่ะ ทั่วทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยสีเหลือง แดง สีส้ม มองไปทางไหนก็รู้สึกฟินและ สดใสสุดๆ เลยค่ะ แถมอากาศก็ดีมากๆสามารถแต่งตัวสวยๆ เดินถ่ายรูปเพลินๆ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ค่ะ         เชื่อว่าหลายๆ คนก็มีแพลนที่จะไปเที่ยวทัวร์ญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสี ช่วง เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน กันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ทัวร์ครับเลยขอนำเสนอเคล็ดลับดีๆ ตั้งแต่เรื่องการแต่งตัว จนไปถึงจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีเลยค่ะ ให้ได้ไปศึกษา เพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนเดินทางค่ะ  อากาศ         เดือนนี้เป็นช่วงที่อากาศกำลังดีเลยค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนเมืองร้อนอย่างเรา ที่ชื่นชอบอากาศแบบเย็นๆสบาย อุณหภูมิประมาณ 10 องศา สูงสุดไม่เกิน 20 องศา ค่ะ แต่ถ้าหากปีไหนฝนตกมาก ก็อาจจะลงมาต่ำกว่านั้นนิดหน่อย ถึงแม้อากาศจะเย็น แต่ก็ยังมีแสงแดดมาช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้เราในตอนกลางวัน และยังทำให้บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งสวยงามมากขึ้นไปอีกค่ะ  การแต่งกาย         อย่างที่บอกว่า อากาศจะยังไม่หนาวมากนัก ทัวร์ครับจึงขอแนะนำให้ใส่เป็น เสื้อผ้ากันหนาวที่ยังไม่หนามากนัก ด้านในอาจจะใส่เป็นเสื้อคอเต่า หรือฮีทเทคสีสดใสหน่อย แล้วคลุมด้านนอกด้วยเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ หรือแจ็กเก็ตหนังเก๋ๆ ให้ความรู้สึกแฟชั่นนิสต้าเหมือนกัน ส่วนด้านล่างใส่แค่กางเกงยีนส์ก็พอบรรเทาความเย็นได้แล้วนะคะ หรือหากใครเป็นคนขี้หนาวก็หากางเกงบุขนเก๋ๆ ที่ไม่หนามากมาใส่เพิ่มความชิคได้เหมือนกัน ส่วนรองเท้าผ้าใบคู่ใจสักคู่ก็โอแล้วล่ะค่ะ         แต่ไม่ใช่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบ Winter Style ไม่ได้นะคะ ใครอยากจะจัดเต็มด้วยการใส่เสื้อโค้ท คู่กับรองเท้าบู้ท ก็ไม่ได้ผิดกฎข้อไหนเลย ด้านในก็ใส่เสื้อที่บางหน่อย ช่วงกลางวันที่เจอแดดจะได้ไม่ร้อนมาก จริงๆ แล้วในฤดูใบไม้ร่วงนี้ เป็นฤดูที่สามารถ แฟชั่นจัดเต็มได้มากกว่าทุกฤดูอยู่แล้ว ค่ะ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้แต่งตัวจับนู่นนี่มา Mix & Match ให้สนุกกันไปเลยค่ะ  กิจกรรม         แน่นอนว่ากิจกรรมหลักในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็คือการชมใบไม้แดง หรือใบไม้เปลี่ยนสี นั่นเอง ซึ่งสามารถชมได้หลายจุดทั่วประเทศเลยค่ะ ถ้างั้นตามทัวร์ครับมาดูกันเลยค่ะ แหล่งที่คนนิยมไปชมใบไม้เปลี่ยนสี มีที่ไหนกันบ้าง ? วัดคิโยมิซุ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizu-dera)           เริ่มกันที่แรก กับวัดชื่อดังของเกียวโต จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของญี่ปุ่น ภายในวัดมีความเป็นธรรมชาติมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี ทั่วทั้งบริเวณวัดจะกลายเป็นสีส้มแดง เป็นภาพบรรยากาศที่สวยสะกดตามากๆค่ะ ซึ่งนอกจากนี้ยังมีจุดชมวิว ที่เราจะได้เห็นเมืองเกียวโตในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจากศาลากลางขนาดใหญ่ของวัดอีกด้วยล่ะ  *** ขณะนี้ศาลากลางของวัดกำลังทำการปิดปรับปรุง ซ่อมแซมอยู่ค่ะ โดยจะเปิดให้บริการณอีกครั้งใน 2020 *** หุบเขามิโนะ (Minoh park)           อีกหนึ่ง จุดสำหรับชมใบไม้แดงชื่อดังของภูมิภาคคันไซ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นเอง และชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาชมใบไม้เปลี่ยนกันอย่างคึกคักค่ะ เราสามารถเดินเที่ยวลัดเลาะไปรอบๆ เขา เพื่อชื่นชมกับธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งเส้นทางของที่นี่ ถูกจัดทำขึ้นอย่างปลอดภัย สะอาด เดินง่าย ต่อให้มีผู้สูงอายุมาด้วย ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอุบัติเหตุเลยค่ะ  ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)           ไม่ใช่เพียงแค่เป็นจุดชมฟูจิที่ฮิตที่สุดเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้แดงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วยค่ะ จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่ก็คือ อุโมงค์เมเปิ้ลที่มีชื่อว่า โมมิจิ ไคโร (Momiji Kairo) และที่สำคัญ อาจโชคดีได้เจอฟูจิซังไปพร้อมๆ กับชมใบไม้แดงด้วยแล้วล่ะก็ คงเป็นความทรงจำที่ดีสุดๆแน่นอนเลยค่ะ  หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)         หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณที่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในช่วงที่หิมะตกเท่านั้นที่ควรมาเยือน แต่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ก็สวยไม่น้อยเลยค่ะ บ้านหลังคาญี่ปุ่นโบราณทุกหลัง จะถูกโอบล้อมไปด้วยใบไม้สีแดง เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ลงตัวสุดๆเลยค่ะ อีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง          หวังว่า เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ จากทัวร์ครับในวันนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้ ได้นำไปใช้เตรียมตัวก่อนการเดินทางกันนะคะ  รับรองว่ากลับมาแล้วจะยังนอนฝันหวานถึงญี่ปุ่น และรอไม่ไหวสำหรับทริปต่อไปเลยค่ะ หากใครอยากรู้ว่ายังมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่ไหนเด็ดอีกบ้าง ตามไปดูได้เลยที่  >>> ใบไม้เปลี่ยนสีมาแล้ว...เปิดวาร์ปพิกัดชม ใบไม้เปลี่ยนสี 2018 <<<

อ่านเพิ่มเติม
5 แหล่งกาชาปอง โตเกียว ไปกี่เที่ยวก็หมดตัว!
5 แหล่งกาชาปอง โตเกียว ไปกี่เที่ยวก็หมดตัว!

09 ส.ค. 61

        กาชาปอง (Gachapon) ตู้หยอดของเล่นอัติโนมัติที่มักจะเชื้อเชิญให้ เราหลงกลเสียตังค์อยู่เสมอเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะตู้กาชาปองนั้นมีสินค้าที่โดนใจทุกกลุ่ม ทั้งการ์ตูนในดวงใจ เกมส์ ภาพยนต์ และของน่ารักๆมากมาย โดยราคาในการกดกาชาปองก็จะเริ่มตั้งแต่ 100 เยน ไปจนถึง 300 เยน เราสามารถเจอตู้กาชาปองได้ตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปของญี่ปุ่น แต่วันนี้ทัวร์ครับจะพาทุกคนไปบุกแหล่งตู้กาปองของโตเกียว เมืองหลวงแสนทันสมัยที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันอย่าง คึกคัก เพราะโตเกียวนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งขุมทรัพย์แห่งกาชาปอง ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ว่าแต่จะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามทัวร์ครับมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ อากิฮาบาระ (Akihabara)   Credit : japanetour.com          เริ่มต้นกันที่ย่าน ศูนย์รวมของเล่นและของสะสมแห่งโตเกียว อย่าง อากิฮาบาระ ที่นักสะสมตัวละครมังงะนิยมไปตามหาตัวละครในดวงใจกันที่นี่ แน่นอนว่าภายในย่านอากิฮาบาระจึงเต็มไปตู้กาชาปองหลายจุด ซึ่งตู้กาชาปองถูกติดตั้งในย่านอากิฮาบาระแห่งนี้มายาวนานกว่า 10 ปีเลยทีเดียวค่ะ สาวกล่ากาชาปองต่างล่ำลือกันว่า กาชาปองในย่านอากิฮาบาระแห่งนี้นั้น เต็มไปกาชาปองหายาก และมีให้เลือกเยอะมากมายจนเลือกไม่ถูก นอกจากตู้กาชาปองแล้ว ยังมีร้านขายของที่ระลึกของตัวการ์ตูน และตัวละครมังงะอีกมากมาย ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์หมดตัวในย่านนี้กันได้ทั้งนั้นค่ะ Credit : beacon-akiba.com อูเอโนะ (Ueno)          อูเอโนะ อีกหนึ่งย่านท่องเที่ยว เป็นที่ตั้งของตลาดอาเมโยโกะ สถานที่ช้อปปิ้งสุดฮิตของคนไทย ซึ่งหลายๆคนอาจไม่ทราบว่าที่นี่นั้นก็เป็นอีกแหล่งขุมทรัพย์กาชาปองแห่งโตเกียวเช่นกันค่ะ เพราะในย่านอูเอโนะแห่งนี้มีร้านชื่อว่า Yamashiroya ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในย่านอูเอโนะ     ชินจูกุ (Shinjuku)             หากพูดถึงแหล่งช้อปปิ้งของโตเกียว ต้องมีชื่อของ ชินจูกุ ติดอยู่ในลิสอย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งนอกจากชินจุกุจะเต็มไปร้านค้า ร้านขายของมากมาย ยังเป็นที่ตั้งของตู้กาชาปองที่ซ่อนตัวอยู่ตามตึกต่างๆ แต่ละที่นั้นก็มีตู้กาชาปองให้เลือกดกันมากกว่าหลายร้อยตู้ ใครที่ช้อปปิ้งจนเบื่อแล้ว ก็อย่าลืมแวะไปหยอดกาชาปองแก้เบื่อกันในย่านชิจูกุได้นะคะ  โตเกียว สเตชั่น (Tokyo Station)            ขอพาทุกคนมายังสถานทีรถไฟศูนย์กลางของโตเกียวอย่างโตเกียว สเตชั่น สถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้าของฝากญี่ปุ่นมากมาย และไฮไลท์ของเราก็อยู่ที่ชั้น 1B นี่เอง เพราะเป็นที่ตั้งของ Tokyo Gashapon Street ถนนแห่งกาชาปอง ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่นาน แต่เรียกได้ว่าขนมาทุกคอลเลคชั่นกันเลยค่ะ ทัวร์ครับแนะนำให้ตั้งสติกันให้ดี งานนี้มีหมดตัวแน่นอนค่ะ สนามบินนาริตะ (Narita Airport)            หากใครไม่มีเวลาไปตามรอยแหล่งตู้กาชาปองที่เราได้บอกไปด้านบน ทัวร์ครับยังมีอีกหนึ่งทีให้แก้ตัวค่ะ และที่สำคัญทุกคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องผ่านที่นี่อย่างแน่นอน เพราะสถานที่ที่ว่าก็คือ สนามบินนาริตะ ประตูสู่ญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ โดยเราสามารถไปหาตู้กาชาปองได้ทั้ง 2 Terminal กันเลยทีเดียวค่ะ สำหรับ Terminal 1 จะอยู่ที่ชั้น 2 ส่วน Terminal 2 จะอยู่ที่ชั้น B1 ผ่าน Terminal ก็แวะไปหยอดติดไม้ ติดมือกลับไปเป็นของฝากกันได้นะคะ            หวังว่าจะถูกอด ถูกใจเหล่าสาวกกาชาปองกันนะคะ การได้หยอดตู้กาชาปองตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้น ถือเป็นอีกความสุขทางใจ ความรู้สึกตื้นเต้นตอนกำลังลุ้นว่าจะได้กาชาปองแบบที่อยากได้หรือเปล่านั้น ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีดีที่จะเติมเต็มให้การไปเที่ยวญี่ปุ่นของเรานั้นสนุกยิ่งขึ้นค่ะ ส่วนครั้งหน้าทัวร์ครับจะมีเรื่องเที่ยวดีดีอะไรมานำเสนออีกนั้น ต้องคอยติดตามให้ดีนะคะ

อ่านเพิ่มเติม
เทศกาลน่าเที่ยวในญี่ปุ่น แบบนี้ก็มีด้วยหรอ?
เทศกาลน่าเที่ยวในญี่ปุ่น แบบนี้ก็มีด้วยหรอ?

12 ก.ย. 61

เทศกาลในญี่ปุ่น รวมถึงเทศกาลที่ ค่อนข้างมีความเป็นทางการที่ดูจริงจังมากๆ แต่วันนี้ทัวร์จะพาไปดู 5 เทศกาลที่ทัวร์ญี่ปุ่นมีบริการพาไป จะมีอะไรน่าสนใจกันบ้างนะ? ไปดูกันเล้ยยจ้าาา.... เทศกาลเนบุตะ มัตสึริ Nebuta Matsuri เทศกาลหุ่นโคมไฟ สืบสานกันมายาวนานกว่า 300 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย จัดขึ้นที่เมืองอาโอโมริ ไฮไลท์ของเทศกาล คือ ขบวนพาเหรดโคมไฟขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีการสร้างสรรค์จำลองตัวละครจากละครคะบุกิ เรื่องเล่าตามวัฒนธรรม หรือละครอิงประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนิยม หากจะเรียกว่ามันเป็นเทศกาลที่งดงามตระการตามากที่สุดก็คงไม่ผิดนัก มีการแสดงกลองอันสนุกสนาน ไทโกะและนักเต้นฮาเนโตะที่จะการร่ายรำแบบพื้นเมืองไปตลอดทาง และในวันสุดท้ายของงานจะมีการแสดงดอกไม้ไฟริมแม่น้ำตระการตาเพื่อเป็นการปิดท้ายงานเทศกาลอย่างยิ่งใหญ่ จัดงานทุกวันที่ 2-7 สิงหาคมของทุกปี งานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโร Sapporo Yuki Matsuri จัดขึ้นที่เขตซัปโปโร เทศกาลนี้กินเวลาถึง 7 วัน อยู่ในช่วงเมืองฮอกไกโด ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆปี โดยเปิดโอกาสให้ทุก ๆ คนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สามารถเข้ามาเที่ยวฮอกไกโด และร่วมการแข่งกันแกะสลักน้ำแข็งได้ ทำให้ออกมาให้โดดเด่นที่สุด เป็นเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงแห่งฮอกไกโด บนพื้นที่จัดงานมี 3 ส่วน คือ สวนสาธารณะโอโดริ, ย่านการค้าซูซูกิโน และซัปโปโรคอมมูนิตีโดม ภายในงานมีการนำเสนอประติมากรรมที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็งเป็นจำนวนนับร้อยชิ้น เทศกาลหิมะซัปโปโรเป็นเทศกาลหิมะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และมีผู้เข้าชมงานจากทั่วโลกกว่า 2 ล้านคนทุกปี เทศกาลแสงไฟริมคลองโอตารุ Otaru Snow Light Path Festival เป็นงานเทศกาลประจำฤดูหนาว ที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ใกล้เคียงกับช่วงที่จัดงานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโร โดยทั่วทั้งบริเวณคลองและในตัวเมืองจะประดับไปด้วยแสงไฟท่ามกลางหิมะ เป็นระยะเวลาทั้งหมด 10 วัน สถานที่จัดงานจะอยู่ในเขตบริเวณ Unga Kaijo และ Temiyasen Kaijo ที่สามารถเดินจากสถานี Otaru ได้เพียง 15 นาที โดยเมืองโอตารุจะประดับประดาไปด้วยแสงไฟ และรูปปั้นหิมะขนาดเล็ก บรรยากาศของเมืองที่ปกคลุมด้วยหิมะ รวมกับแสงจากโคมไฟระยิบระยับทำให้รื่นรมย์ ภายในเมืองจะแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่หลักในการจัดเทศกาลในช่วงเวลา 17:00 - 21:00 นอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่ก็จะตกแต่งร้านค้าและที่อยู่อาศัยของพวกเขาด้วยโคมไฟบริเวณด้านหน้าอีกด้วย เทศกาลทุ่งดอกไม้ ฟูจิชิบะซากุระ Fuji Shibazakura Festival เป็นหนึ่งในเทศกาลที่ดีที่สุด และมีชื่อเสียงที่สุดในการชมดอกชิบะซากุระ ซึ่งจัดขึ้นในบริเวณทะเลสาบทั้งห้าของภูเขาไฟฟูจิ คือถ้าเราเดินทางไปเที่ยวโตเกียว ส่วนใหญ่ทัวร์จะพาไปชมภูเขาไฟฟูจิอยู่แล้วเป็นไฮไลท์ ในช่วงเทศกาล เราจะได้ชมทิวทัศน์ที่งดงามของทุ่งดอกชิบะซากุระอันกว้างใหญ่มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิที่สูงตระหง่านในวันที่ฟ้าโปร่งใส ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมดอกไม้จะแตกต่างกัน แต่มักจะอยู่ในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม เทศกาลจัดขึ้นในช่วงประมาณกลางเดือนเมษายน – ต้นเดือนมิถุนายนเป็นประจำทุกปี บรรยากาศภายในจะเต็มไปด้วยต้นชิบะซากุระประมาณ 800,000 ต้น รวม 5 สายพันธุ์ มีทั้งสีชมพู สีขาว และสีม่วงในเฉดต่างๆ เทศกาลซากุระ ปราสาทฮิเมจิ Himeji Sakura Festival ปราสาทมรดกโลกที่ขึ้นว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น บริเวณรอบๆ ปราสาทจะมีสวนต้นซากุระขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ชมซากุระของเมืองที่มีเสน่ห์ด้วยฉากหลังอันโอ่อ่าอลังการของปราสาทเก่าแห่งนี้ ในช่วงเทศกาลชมดอกซากุระบานประจำปีในเดือนเมษายน เป็นช่วงเวลาชมดอกซากุระบานของประเทศญี่ปุ่นที่จะเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงต้นฤดูร้อน จะมีเทศกาลชมดอกซากุระ และการแสดงดนตรีโบราณในสวนซากุระ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลชมซากุระที่ปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเส้นทางนี้ส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวที่โอซาก้าก่อน เพราะปราสาทฮิเมจินั้นอยู่ในภูมิภาคคันโต ภูมิภาคเดียวกันกับโอซาก้านั้นเอง Asakusa Samba Matsuri และเทศกาลสุดท้ายนี้เป็นเทศกาลที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี ถือเป็นหนึ่่งในเทศกาลที่ดังที่สุดในโตเกียว เป็นเทศกาลที่สนุกสนานมาก ใครจะรู้..? ว่าที่ญี่ปุ่นก็มีการจัดเต้นแซมบ้าด้วยเหมือนกัน โดยจัดขึ้นที่หน้าวัดเซนโซจิ กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่หลักในการมาเที่ยวทัวร์โตเกียว สำหรับเทศกาลจะจัดช่วงปลายเดือนสิงหาคมของทุกปีหรือช่วงปลายฤดูร้อน ภายในงาน เราจะได้เห็นสาวๆญี่ปุ่นมากมาย ใส่ชุดเต้นแซมบ้ามาเต็มยศ ร้องเพลงและเต้นอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งขบวนพาเหรดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเรานี่อึ้ง ทึ่ง กันไปเลยจ้าาา....

อ่านเพิ่มเติม
5 อันดับที่พักญี่ปุ่น ใน 5 เมืองท่องเที่ยว ที่มีเสียงรีวิวว่า คุ้มที่สุด!!
5 อันดับที่พักญี่ปุ่น ใน 5 เมืองท่องเที่ยว ที่มีเสียงรีวิวว่า คุ้มที่สุด!!

29 ส.ค. 61

โตเกียว 1. Toco.-Tokyo Heritage Hostel ที่พักสุดชิค อยู่ในย่าน อูเอโนะ อายุมากกว่า 100 เป็นที่พักที่ฮอตมากสำหรับนักเดินทางจากทั่วโลก ทำให้ต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ 2. Tokoyo Hutte เป็นโฮสต์เทลที่มีบรรยากาศและการตกแต่งเสมือนคาเฟ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Oshiage ภายในเป็นสภาพคล้ายๆคาเฟ่ มีบรรยากาศสบาย ๆ ที่เราสามารถเข้าไปนั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือดื่มกาแฟได้ สามารถใช้ Wi-Fi ฟรี แถมยังมีให้เลือกทั้งห้องพักแบบส่วนตัวและส่วนรวม มีทั้งห้องนอนแบบเตียงสองชั้นและฟูกสไตล์ญี่ปุ่นที่มาพร้อมผ้าม่านและที่กั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับ ใครที่ชอบบรรยากาศสบาย ๆ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ ที่เหมาะสมมากๆเลยทีเดียว 3. Keio Plaza Hotel ใกล้สถานี สามารถเดินจากสถานี JR Shinjuku อยู่ฝั่งตรงข้าม เพียง3 นาทีเท่านั้น มี Free shuttle ไป Disneyland ด้วย บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างใหญ่ อาหารเช้าอลังการ มีห้องอาหารสองห้อง สามารถให้เลือกกินได้ทั้งสองห้อง 4. Asakusa View Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้วัด อาซากุสะ ดองกี้ และแหล่งช้อปปิ้งอื่นๆ โรงแรมที่จัดว่าโอเค พนักงานให้ความช่วยเหลือดี ห้องมีขนาดใหญ่ สามารถเดินจาก สถานี tawaramachi (G18) ประมาณ 10 นาที หรือ 700 เมตร ใกล้กว่าสถานี asakusa(G19) 2 ข้างทางมีร้านอาหาร ร้านค้าตลอดทาง สามารถเดินเล่นได้เพลินๆ จากโรงแรมเดินไปเที่ยววัดไม่ไกล หากลงจากนาริตะ มี ลิมูซีนบัสจอดหน้าโรงแรม ราคาเพียง 2800 เยน เท่านั้นเอง 5. Sakura Hotel Ikebukuro เป็นโรงแรมที่ราคาไม่แพง สะอาด อยู่ในย่านครื้นเครง ใกล้สถานี JR Ikebukuro เป็นจุดศูนย์กลางของรถไฟหลายๆ สาย จึงเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวก เที่ยวโตเกียว >> คลิก โอซาก้า 1. toyoko inn namba เป็นโรงแรมที่สามารถเดินไปใต้ดิน Namba ได้ในระยะทาง 700 เมตร และสามารถเดินต่อไปถึง dotonburi อีก300 เมตร สามารถนั่ง นันไก ไลน์ ( Nankai Line ) จากสนามบินคันไซมาสุดสาย เดินทางแค่ 2 บล็อคเท่านั้น ก็จะเห็นโรงแรม อีกทั้งยังไปไหนมาไหนสะดวก อาหารหาทานได้ง่ายอีกด้วย 2. Chisun Hotel Shinsaibashi โรงแรมนี้อยู่ติดสถานีรถไฟใต้ดิน Nagahoribashi อยู่ในระยะที่เดินไปชินไซบาชิ นัมบะ และโดทงบุริได้ ใกล้แหล่งช้อปปิ้งมากมาย 3. Hotel Kanade โรงแรมเล็กๆ ย่าน Namba หน้าโรงแรมเป็นทางลงรถไฟฟ้าสถานี Namba เดินประมาณ 5 นาทีจาก Dotombori และกูลิโก๊ะ เดินเพียง 500 เมตร สะดวก ใกล้ร้านอาหาร สามารถหาทานได้ง่าย 4. Yoshi House ที่พักสไตล์ย้อนยุคสู่สมัยโชวะ ห่างจากสถานี Osaka-Namba ประมาณ 500 เมตร สามารถเดินจากโรงแรมมายังสถานีได้ไม่ยาก ภายในห้องมีขนาดกว้างมาก แถมใกล้ๆที่พักยังมี family mart อยู่ใกล้ๆอีกด้วย สามารถเดินไปยัง dotonburi shinsaibashi ได้ง่าย 5. Hotel New Hankyu Osaka โรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟสำคัญๆหลายสาย เช่น Osaka , Umeda ร้านอาหารบริเวณรอบโรงแรมมีค่อนข้างเยอะ รายล้อมไปด้วยห้างใหญ่ เช่น Daimaru, Grand Front Osaka, Lucua, Yodobashi, HEP Five, Hanshin, Hankyu ภายในไม่ใหญ่มาก แต่สามารถอยู่ได้แบบสบายๆ ไม่มีปัญหาเรื่องปลั้กเสียบเพราะมีให้เยอะมากๆ สามารถปรับแอร์/ฮีทเตอร์ได้ มีแม่บ้านทำความสะอาดทุกวัน มี Wifi ให้ มีน้ำดื่มฟรีเติมให้ทุกวัน มีร้านอาหารภายในโรงแรมมากมายหลายร้าน เที่ยวโอซาก้า >> คลิก เกียวโต 1. Ryokan Shimizu : พักสบาย ใกล้สถานี เกียวโต มีออนเซ็น เป็นที่พักสำหรับผู้ที่มีความชอบความเป็นญี่ปุ่นมากๆ นอนบนฟูกนุ่มๆบนเสื่อ ให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ความพิเศษของที่นี่ก็คือ สำหรับใครที่อยากมาแช่ออนเซ็น แต่เขินอาย ไม่กล้าแช่ห้อง ที่นี่ก็สามารถตอบโจทย์มากๆ เพราะภายในมีที่แช่ออนเซ็นส่วนตัวอีกด้วย 2. Ohto Ryokan : เรียวกังราคาประหยัด บรรยากาศดี ใกล้สถานีรถไฟ Shichijo ภายในมีทั้งห้องพักแบบส่วนตัว ที่พักได้สูงสุดถึง 5 คน และแบบรวม มีห้องน้ำรวม และอุปกรณ์ครบครันทุกอย่างให้เป็นอย่างดี 3. Sakura Terrace The Gallery : เป็นที่พักที่มีบรรยากาศดี เงียบสงบ สะอาด พนักงานให้การต้อนรับดีมาก ห้องตกแต่งสวย พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ มีเตาผิง และบ่อน้ำร้อน ไวไฟแรง ใกล้แหล่งช็อปปิ้งของเกียวโต สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกง่ายดาย จาก สถานี JR เกียวโต หน้าฝั่งชินกันเซ็นเลย เดินแค่ 200 เมตรข้ามถนนมาก็ถึงเลย 4. Mitsui Garden Hotel Kyoto Shijo : เป็นที่พักใจกลางเมืองเกียวโต โรงแรมไม่ไกลจากสถานีรถไฟ (แต่ก็ไม่ใกล้มากนัก) มีป้ายรถเมล์อยู่หน้าโรงแรม มีบริการขนส่งสาธารณะในระยะ 380 เมตร สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกง่ายดาย มีสภาพแวดล้อมที่สะอาดเรียบร้อย บริการดี สามารถฝากกระเป๋า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีออนเซนที่ชั้น 1 ของโรงแรม และเครื่องนวดไฟฟ้าให้ใช้ฟรี ใกล้ร้านมินิมาร์ท และแหล่งช้อปปิ้งของเกียวโต 5. Kyoto Century Hotel : ที่พักติดสถานีรถไฟ JR KYOTO สามารถเดิน 2 นาทีไปยังสถานีเกียวโต สะดวกมากๆ ห้องพักกว้าง เตียงใหญ่ มีบริการ Smart Phone ที่เชื่อมต่อกับ Internet ได้อีกด้วย เที่ยวเกียวโต >> คลิก ฮอกไกโด 1. The Stay Sapporo เป็นที่พักที่บรรยากาศเป็นกันเองมากๆ อบอุ่นสุดๆ ชิลๆ เก๋ๆ แนวๆ ใน 1 ห้อง จะมีหลายๆ เตียงอยู่ภายใน มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องครัว และห้องนั่งเล่น “แบบใช้ส่วนรวม” สามารถลงสถานี Susukino ไปประมาณ 10-15 นาที โดยรวมที่พักสะอาดและค่อนข้างใหม่ แถมราคาไม่แพงอีกด้วย 2. HOTEL MYSTAYS Sapporo Nakajima Park Annex ที่พักไม่ใหญ่มากใจกลางเมือง ตั้งอยู่ห่างจากสวนสาธารณะ Nakajima Koen Park เป็นระยะทางเพียง 1 ช่วงตึก และตั้งอยู่ห่างจากสถานี Nakajima Koen โดยใช้เวลาเดิน 7 นาที ที่พัก Wi-Fi ฟรี ห้องพักสะอาด สะดวกสบาย พร้อมไมโครเวฟ อุปกรณ์ครบครัน คุ้มค่า คุ้มราคาสุดๆ โรงแรมมีร้านสะดวกซื้อ SeicoMart มีบริการน้ำแข็งให้กดฟรี ห้องเล็กตามแบบญี่ปุน แต่สามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ 3. Richmond Hotel Sapporo Odori  ตั้งอยู่ใน ย่าน Tanukikoji ซึ่งเป็นแหล่งใจกลางย่านช้อปปิ้ง ขนาดห้องพัก เป็นห้องพักขนาดเล็กสไตล์ญี่ปุ่น มีอุปกรณ์ใช้สอยครบครัน แถมยังใกล้แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหาร สามารถเดินทางสะดวก เพราะมีทั้งสถานีรถไฟใต้ดินและรถราง ตรง Lobby มีทางออก ทำให้สามาถเดินออกไปช้อปปิ้ง โดยทางล็อบบี้ไปได้เลย ง่ายมากๆเลยทีเดียว ส่วนในล็อบบี้จะมีเอกสารแจกฟรี ทั้งที่ท่องเที่ยว พร้อมทั้งบริการเช่ารถ และส่วนลดต่างๆ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่คนไทยสาบช้อปปิ้งอย่างเรา นิยมไปพักกันมากๆเพราะเดินทางสะดวกสุดๆไปเลยจ้า 4. Marks Inn Sapporo ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ประมาณ 10 - 15 นาทีเดินไปหอนาฬิกา อยู่ห่างจากสถานี Nakajima Koen ออกไป 400 เมตร โดยใช้เวลาเดิน 3 นาที มีบริการอาหารเช้าพร้อมขนมปังอบสดใหม่ ห้องพักมีขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สะอาด มีบริการ WiFi ฟรี 5. Smile Hotel Hakodate โรงแรมหน้า JR station ตรงข้ามกับสถานี JR Hakodate เดินออกมาจากสถานีก็เลี้ยวซ้าย เดินประมาณ 200 เมตร 2 นาทีเท่านั้นก็เจอเลย หาง่าย พนักงานให้บริการดี ราคาประหยัดและยังมีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านสะดวกซื้อ มีอุปกรณ์เครื่องใช้ให้ครบที่หน้าเคาเตอร์ มีตู้กดน้ำในโรงแรม อาหารเช้าราคา 550 เยน ถือว่าคุ้มค่ามาก ข้างโรงแรมมีร้านราเมงและซูชิ เปิดถึง 4 ทุ่ม ตอนเช้าสามารถเดินข้ามไป 2 Blocks ก็เจอตลาดเช้า หมดห่วงเรื่องอาหารการกินแน่นอน เที่ยวฮอกไกโด >> คลิก ฟุกุโอกะ 1. Candeo Hotel Fukuoka Tenjin ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin โดยใช้เวลาเดิน 10 นาที มี Wi-Fi ฟรี ห้องพักทันสมัย อ่างอาบน้ำสาธารณะ ห้องซาวน่า ห้องน้ำส่วนตัวพร้อมอ่างอาบน้ำ เครื่องเป่าผม และเครื่องใช้ในห้องน้ำฟรี ที่สำคัญมีออนเซ็นด้านบน ใกล้แหล่งช้อปปิ้งของฟูกูโอกะ สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นที่พักที่คุ้มค่ามากๆเลย 2. Hotel Sunroute Hakata Fukuoka อยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพียงนิดเดียวเท่านั้น สามารถเดินทางไปสนามบินได้ภายในเวลาประมาณ 5 นาที เดินทางสะดวกสบาย ตั้งอยู่ใกล้ Hakata Deitos, Hakata Hankyu, JR Hakata City Amu Plaza Hakata ใกล้แหล่งชอปปิ้ง พนักงานเป็นกันเอง ภายในขนาดห้องไม่ใหญ่มาก แต่สะอาดมาก มีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้ และมีร้านอาหารอยู่ใกล้มาก 3. Kia Ora Budget Stay ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ JR Hakata Train Station ใช้เวลาเดินเพียง 10 นาที ใช้เวลาเดิน 20 นาที จาก Ohori Park และห่างจากสนามบิน Fukuoka Airport ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟ 15 นาที มีห้องพักสไตล์ห้องพักรวมค่อนข้างทันสมัย และห้องพักส่วนตัว มี Wi-Fi ฟรี ราคาประหยัด ระหว่างทางมีร้านค้ามากมาย หาของกินง่าย มีห้องครัวส่วนกลางสำหรับปรุงอาหารเพื่อรับประทานเอง มีคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานฟรี พนักงานสามารถพูดภาษาไทยได้ชัดมาก ตรงข้ามอีกฝั่งถนนมีมินิมาร์ท สามารถหาอาหารทานได้ง่าย ที่สำคัญภายในที่พักมีไกด์แนะนำเที่ยวเมืองฟุกุ แนะนำร้านอาหาร ให้ข้อมูลได้ดี หากไปกันเป็นกลุ่ม พักที่นี่ก็สนุกดี มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ให้บรรยากาศที่อบอุ่นมาก สามารถเช่าจักรยานปั่นรอบเมืองได้ 4. Hakata Miyako Hotel ที่ตั้งอยู่หน้า JR hakata เลย สะดวกทั้งการใช้รถไฟ subway และรถโดยสาร อยู่ใกล้ห้าง yobaodoshi และสามารถเดินไป canal city ได้ภายใน 15 นาที มีบริการจักรยานให้เช่ามีบริการที่จอดรถในสถานที่ สะดวกต่อผู้ที่เดินทางมาโดยรถยนต์ พนักงานก็สุภาพ ให้บริการดี บริเวณรอบๆโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อมากมายทั้ง familymart lowson 7-11 เดินทางสะดวกมากๆ พนักงานสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีของใช้ให้ครบหมดทุกอย่าง 5. Hakata Green Hotel 2 โรงแรมเป็นสไตล์โมเดิน ทางเดิน ห้องพัก ค่อนข้างสะอาด มีอุปกรณ์พื้นฐานให้ครบ ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ JR hakata เป็นระยะทางเพียง 250 ม. มี Wi-Fi ฟรี ที่สะดวกสบาย โรงแรมสะอาด ทันสมัย อุปกรณ์อำนวนความสะดวกครบครัน ด้านหน้ามีแหล่งร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้ออยู่รอบๆ มีช้อปปิ้งมอลล์ Canal City Hakata อยู่ห่างออกไปโดยใช้เวลาเดิน 10 นาที หอคอย Fukuoka Tower อยู่ห่างออกไปโดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ 15 นาที สนามบิน Fukuoka Airport อยู่ห่างออกไปโดยใช้เวลาโดยสารรถไฟ 5 นาทีจากสถานี Hakata Station ด้านล่างของโรงแรมมีมินิมาร์ท และร้านอาหารหลายร้านอยู่ฝั่งตรงข้าม เที่ยวฟุกุโอกะ>> คลิก

อ่านเพิ่มเติม
ของดีนำโชค! แนะนำ 10 เครื่องรางจากญี่ปุ่น ต้องมีไว้ครอบครอง
ของดีนำโชค! แนะนำ 10 เครื่องรางจากญี่ปุ่น ต้องมีไว้ครอบครอง

03 ก.ค. 61

ทัวร์ครับ รวบรวม 10 เครื่องรางนำโชคของญี่ปุ่น เด็ดๆ ที่ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องซื้อกลับมา แล้วเป็นของที่ต้องมีจริงๆ นะเออสำหรับชาวสายมูฯ ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่าพลาดเด็ดขาด จะต้องซื้อติดไม้ติดมือ ติดกระเป๋า หรือเป็นของฝากได้ด้วยนะ   1. เครื่องรางญี่ปุ่น - เหรียญ 5 เยน เริ่มกันที่เครื่องรางแรก เป็นเครื่องรางชั้นยอดที่หาง่ายมากๆ ไม่ต้องไปบูชาที่วัดไหน เพราะเป็นเหรียญที่ทุกคนสามารถมีได้เมื่อไปญี่ปุ่นค่ะ แต่ถ้าจะให้เราแนะนำ เราขอแนะนำให้นำเหรียญไปล้างน้ำมนต์ที่วัดที่ญี่ปุ่นก่อนนะคะ สำหรับเหรียญ 5 เยนนั้น คนญี่ปุ่นเชื่อว่ารูตรงกลางของเหรียญ คือรูที่ทำให้สิ่งเลวร้ายต่างๆ เรื่องไม่ดี ความโชคร้ายลอดผ่านออกไป นอกจากนี้คำว่า 5 เยน ในภาษาญี่ปุ่น อ่านว่า โกะ-เอ็น ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่า โกะ-เอ็น (ご縁) ที่แปลว่า การขอพรจากเทพเจ้า เพราะฉะนั้น เหรียญ 5 เยน จึงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีนั่นเองค่ะ ใครไปญี่ปุ่นก็อย่าลืมเก็บเหรียญ 5 เยนไว้ แล้วนำมาพกติดตัวนะคะ หรือจะทำเป็นพวงกุญแจห้อยก็ได้นะ   2. เครื่องรางญี่ปุ่น - ด้านความรัก วัดอาซากุสะ พูดถึงชื่อวัดนี้แล้ว เชื่อว่าใครๆ ก็ต้องรู้จัก เพราะถือว่า เป็นวัดชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปโตเกียวต้องไปนั่นเองค่ะ บอกเลยว่า คนส่วนมากที่มาขอพรที่วัดนี้ สมหวังกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเครื่องรางจากวัดนี้เลยเป็นของแรร์ไอเท็ม ที่หลายๆ คนต้องบูชากลับไปค่ะ แน่นอนว่า ถ้าพูดถึงเรื่องความรัก ใครๆ ก็อยากมี หรือที่มีแล้วก็อยากให้มันดีขึ้นไปอีก และ เครื่องรางความรัก วัดอาซากุสะ ก็ศักดิ์สิทธิ์จนทำให้หลายๆ คนเห็นผลกันมามากแล้วค่ะ คนที่บูชาไปพกติดตัวไว้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนจีบเพียบ ที่มีแฟนอยู่แล้วก็รู้สึกว่าดี๊ดี ไม่มีเรื่องมากวนใจ มาทะเลาะกันเลยล่ะ ใครอยากมีโชคเรื่องความรัก ก็อย่าลืมไปบูชามาติดตัวไว้นะคะ   3. เครื่องรางญี่ปุ่น - ขอให้สมปรารถนา วัดอาซากุสะ ยังอยู่กับ วัดอาซากุสะ หรืออีกชื่อคือ วัดเซนโซจิ ค่ะ (คนไทยหลายคน รู้จักในชื่อ วัดโคมแดง) นอกจาก เครื่องรางความรัก ที่บอกไปข้างต้นแล้ว ที่วัดนี้ยังมีเครื่องรางอีกมากมายให้เราไปบูชา ดังเช่น เครื่องรางสมปรารถนา อันนี้นั่นเอง เครื่องรางสมปรารถนา วัดอาซากุสะ เป็นเครื่องรางที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่า เหมือนเป็นตัวแทนของเทพเจ้าของวัดเลยล่ะค่ะ พกติดตัวไว้แล้ว ไม่ว่าเราจะขอพรในเรื่องอะไร ท่านก็จะอวยพรให้เราสมปรารถนา ดังที่ใจเราต้องการ ถ้าเราอธิษฐานด้วยใจจริง สิ่งที่เราอธิษฐานก็จะเป็นจริงค่ะ ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้นะคะ   4. เครื่องรางญี่ปุ่น - ด้านการเงิน วัดอาซากุสะ บอกแล้วว่า วัดอาซากุสะ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะคะ เพราะเครื่องรางของวัดนี้ มีหลายชิ้นมากๆ ให้พรในแต่ละด้าน ต่างกันไป ถ้าใครมีโอกาสไปก็อย่าลืม เลือกเรื่องที่เราอยากให้ประสบความสำเร็จ แล้วบูชาเครื่องรางมาพกติดตัวไว้นะคะ สำหรับ เครื่องรางการเงิน จากวัดอาซากุสะ นั้น ดลบันดาลให้ผู้ที่บูชา เห็นผลมานักต่อนักแล้วค่ะ ใครที่กำลังกระเป๋าเบา หรือเงินขาดมือ รู้สึกสภาพการใช้จ่ายไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ หรือใครค้าขาย ทำธุรกิจ แล้วอยากได้กำไร แนะนำให้บูชาเครื่องรางอันนี้ไว้ เค้าว่ากันว่า ขอแสนได้แสน ขอล้านได้ล้านเลยนะจะบอกให้ Cr: https://pbs.twimg.com/media/DMU_UMLUIAUsOQd.jpg   5. เครื่องรางญี่ปุ่น - ด้านการเรียน วัดอาซากุสะ จริงๆ แล้วเครื่องรางของวัดอาซากุสะ ยังมีอีกหลายชิ้นที่น่าสนใจ และน่าบูชาติดตัวไว้ แต่วันนี้เราคัดมาแต่ชิ้นที่เด็ดๆ ที่โด่งดังและถือว่าเป็น the must ที่ต้องบูชาจริงๆ มาแนะนำให้ทุกคน และเครื่องรางอันนี้ก็เหมาะกับ น้องๆ ในวัยเรียนค่ะ เครื่องรางด้านการเรียนของวัดอาซากุสะ นั้น เด็กนักเรียนญี่ปุ่นหลายคนบูชาพกติดตัวไว้ตลอด เพราะจะช่วยส่งเสริมในเรื่องของ การเรียน การสอบต่างๆ และเชื่อว่าจะช่วยให้มีสมาธิ มีใจจดจ่อกับเรื่องเรียนมากขึ้นด้วยค่ะ ใครที่กำลังจะสอบเข้า หรือสอบเลื่อนขั้น เลื่อนชั้นต่างๆ อย่าลืมไปหามาพกติดตัวไว้นะคะ   6. เครื่องรางญี่ปุ่น - เทพเจ้าจิ้งจอก คิสึเนะ ข้ามภูมิภาค จากโตเกียว มาที่เกียวโต กันบ้างค่ะ กับ วัดฟูชิมิอินาริ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ศาลจิ้งจอกขาว ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ ของเทพเจ้าจิ้งจอกมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วค่ะ ซึ่ง เครื่องรางเทพเจ้าจิ้งจอก นี้นั้น เป็นเครื่องรางแห่งความสำเร็จ หากใครที่กำลังจะทำอะไร หรือทำอะไรอยู่ แล้วต้องการให้ผลออกมาสำเร็จ สมปรารถนาที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะเรื่อง การงาน การเรียน การสอบต่างๆ บูชาเครื่องรางนี้ เค้าว่าเทพเจ้าจิ้งจอก จะบันดาลให้สมความปรารถนาค่ะ หากใครสนใจไปเที่ยวญี่ปุ่น ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอก ดูตามโปรแกรมนี้เลย >> คลิก!! 7. เครื่องรางญี่ปุ่น - เสริมความรัก เก็นจิ ยังอยู่กันที่เกียวโต กับอาราชิยามะ หรือสวนไผ่ชื่อดัง ที่ใครไปเที่ยวแถบ คันไซ ต้องแวะไปเยี่ยมเยียนนั่นเอง และที่นี่ก็ยังเป็น จุดกำเนิดของนิยายความรักสุดคลาสสิคอย่าง เก็นจิโมโนกาตาริ ด้วยล่ะค่ะ สำหรับ เครื่องรางความรัก เก็นจิ ต้องบูชาที่ ศาลเจ้า โนโนมิยะ ค่ะ สาวๆ ญี่ปุ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บูชาไว้แล้วพบเจอแต่คนดีๆ มีแต่คนดีๆ เข้ามาจีบ นอกจากนี้ ยังให้พรในเรื่องของ คู่ครอง และการมีลูกด้วยนะคะ ใครที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ สามารถบูชามาแล้วขอพรให้ลูกคลอดง่ายๆ และเชื่อว่าลูกที่คลอดออกมานั้นจะเป็นคนดีด้วยค่ะ   8. เครื่องรางญี่ปุ่น - เสริมความรัก วัดน้ำใส วัด คิโยมิซุ หรือวัดน้ำใส ที่คนไทยรู้จักกันดี ก็มีเครื่องรางชื่อดังเหมือนกันนะคะ นอกจากจะแวะไปขอพรจากเทพเจ้า และดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราขอแนะนำให้บูชาเครื่องรางกลับมาพกติดตัวไว้ด้วย โดยเฉพาะคนที่อยากมีโชคในด้านความรักค่ะ เนื่องจาก เทพเจ้าโอคุนินูชิ นั้น เป็นเทพที่มีลูกกว่า 180 คนเลยทีเดียว คนญี่ปุ่นจึงเชื่อว่า ท่านเป็นเทพนักรัก และสามารถช่วยดลบันดาลให้สมปรารถนาในเรื่องความรักได้ นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา รวมถึงคนญี่ปุ่นเองจึงนิยมเดินทางมาขอพรเรื่องความรัก และขอลูกจากท่านค่ะ   9. เครื่องรางญี่ปุ่น - เสริมดวงดี ศาลเจ้าไคจู มาถึงเครื่องรางอันนี้ ที่บอกเลยว่ากำลังเป็นกระแสมาแรงในทวิตเตอร์มากๆ กับ เครื่องรางดวงดี จาก ศาลเจ้าไคจู อินาริ (Kaichu Inari) ค่ะ ศาลเจ้านี้มีชื่อในเรื่องของการเสี่ยงดวงต่างๆ อย่างเช่น ลอตเตอรี่ หรือแม้กระทั่ง การกดบัตรคอนเสิร์ต !! ใครที่กำลังจะเสี่ยงโชคในเรื่องต่างๆ เช่น ไปเล่นเกมไว้ตามเพจ ตามเว็บ แล้วอยากให้ชื่อเราเป็นผู้ถูกเลือก หรืออยากไปดูคอนเสิร์ตนึงมากๆ และกลัวว่าจะกดซื้อบัตรไม่ทัน ลองบูชาเครื่องรางนี้ติดตัวไว้ เค้าว่ากันว่าสมปรารถนามานักต่อนักแล้วค่ะ หรือหากใครชอบซื้อลอตเตอรี่ อยากมีดวงในเรื่องการเสี่ยงโชคบ้าง ก็สามารถขอพรจากเครื่องรางนี้ได้เช่นเดียวกันนะคะ   10. เครื่องรางญี่ปุ่น - สุขภาพ ศาลเจ้านามิโนะอุเอะ ปิดท้ายกันที่เครื่องรางจาก ศาลเจ้านามิโนะอุเอะ จังหวัดโอกินาว่า กันค่ะ เนื่องจากตอนนี้เส้นทาง โอกินาว่า กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเลยทีเดียว เราเลยหยิบเครื่องรางหนึ่งชิ้น ที่เค้าว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ มาแนะนำกันค่ะ สำหรับศาลเจ้านามิโนะอุเอะนั้น เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดโอกินาว่า เป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยอาณาจักรริวกิวค่ะ เครื่องรางสุขภาพ ของที่นี่นั้น เค้าว่ากันว่าให้ผลดีมากๆ เลย ใครที่ป่วยเรื้อรังมานานไม่หายสักที ก็กลับดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ซื้อเป็นของฝากของเยี่ยมไข้ คนป่วยก็มีหน้าตาที่สดใสดูดีขึ้น อาการทุเลาลงมากเลยล่ะค่ะ เหมาะมากสำหรับบูชาเป็นของฝาก หรือจะบูชาไว้ให้ตัวเองก็ดีเหมือนกันนะคะ ส่งท้าย ก่อนจากกัน ขอแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องของ วิธีการบูชาเครื่องรางญี่ปุ่น สักนิดนะคะ เพื่อให้ได้พรที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้การบูชาได้ผลที่สุด แนะนำว่า ให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา พกใส่ในกระเป๋า หรือถ้าในกระเป๋าสตางค์ได้ยิ่งดีเลยค่ะ และเครื่องรางญี่ปุ่นนั้นมีวันหมดอายุ โดยส่วนมากจะอยู่ที่ 1 ปี เพราะฉะนั้นจดจำวันที่บูชามาดีๆ เมื่อครบปีแล้ว แนะนำให้เอาไปคืนที่วัดที่บูชามา แล้วบูชาเครื่องรางอันใหม่มาแทน หรือหากไม่สะดวกนำไปคืนที่วัดเดิม ก็สามารถนำไปคืนไว้ที่ศาลเจ้าหรือวัดอื่นก็ได้เช่นกัน สำหรับเครื่องรางญี่ปุ่น ทั้ง 10 ชิ้นที่ทัวร์ครับเลือกมาแนะนำนั้น มีหลากหลายด้านเลยนะคะ หากใครได้ไปญี่ปุ่น อย่าลืมบูชาเครื่องรางติดตัวกลับมาด้วย หรือจะบูชาเป็นของฝากให้กับคนที่คุณรักก็ไม่ผิด ถือว่าเป็นของฝากชั้นยอดเลยค่ะ   ❤️ บทความแนะนำ >> 5 อันดับของฝาก น่าสนใจ จากญี่ปุ่น ❤️  

อ่านเพิ่มเติม
ตะลอนทัวร์ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน! เที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ไม่เบื่อ...
ตะลอนทัวร์ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน! เที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ไม่เบื่อ...

15 พ.ค. 61

        ญี่ปุ่น (Japan) ประเทศยอดนิยมตลอดกาลของนักเดินทางชาวไทย เพราะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ และยังโดดเด่นในเรื่องแฟชั่น การไปเที่ยวญี่ปุ่นเรียกได้ว่าไปกี่ครั้งก็คงไม่พอ เพราะแต่ละจังหวัดแต่ละเมืองของญี่ปุ่นนั้นต่างมีของดี และเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเอง แต่ละเมืองของญี่ปุ่นก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป หรือเพียงแค่ฤดูต่างกันก็จะสวยกันคนละแบบแล้วค่ะ         วันนี้ทัวร์ครับเลยไปเก็บข้อมูล คัดเลือกมาเฉพาะเมืองญี่ปุ่นเด็ดๆ กับ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน ที่จะทำให้คุณเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างไม่มีเบื่อ เลยค่ะ จะมีเมืองไหนบ้างนั้น ? ตามทัวร์ครับมาเลยค่ะ 1.เกียวโต (Kyoto)         เกียวโต (Kyoto) เมืองยอดฮิตสำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ทั้งวัดญี่ปุ่นที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อพันปีก่อน หรือบางครั้งเราอาจจะพบเห็นเหล่า เกอิชา ในชุดกิโมโน เดินอยู่ตามท้องถนนของญี่ปุ่น หรือใครอยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมชงชาญี่ปุ่นแบบโบราณ ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่น่าพลาดสำหรับการไปเที่ยวเกียวโต ไปเที่ยวช่วงไหนดี : ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม) / ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนพฤศจิกายน) 2.โอซาก้า (Osaka)         โอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวแห่งญี่ปุ่น เพราะเต็มไปด้วยอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ เจ้าดังมากมาย ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง เราก็สามารถหาร้านอาหารได้ง่ายมากๆ เรียกได้ว่ามีเวลาเที่ยวหลายวันกินยังชิมร้านอร่อยไม่ครบกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ยังมีมี พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Kaiyukan) พิพิธภัณฑ์สัตวทะเลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น หรือจะเป็น ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) แลนด์มาร์คเด็ดห้ามพลาดประจำโอซาก้า และเด็ดสุดก็คือ ยูนิเวิร์ลแซล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studio Japan) สวนสนุกระดับโลก ดินแดนแห่งความสนุกที่ไม่ว่าวัยไหนก็อยากมาค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี : โอซาก้าสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปีค่ะ แต่ช่วงไฮไลท์สุดก็จะเป็น  ฤดูใบไม้ ผลิ (Spring) เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ซึ่งดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งไปทั่วทุกบริเวณ ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) หรือใบไม้เปลี่ยนสี เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน ต้นไม้ทั่วทุกแห่งในโอซาก้า จะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มแดง เป็นฤดูที่เต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติอันงดงาม 3. ทาคายาม่า (Takayama)         ทาคายาม่า (Takayama) เมืองท่องเที่ยวเมืองเล็กในจังหวัดกิฟุที่ความสวยงามของที่เที่ยวไม่เล็กตาม โดยเฉพาะมรดกโลกอย่าง หมู่บ้านชิราคาวะโกะ ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ล้อมรอบด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีบางหลังที่เปิดเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไป สัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นโบราณ และเคล็ดลับในการสร้างบ้านที่สามารถทนทานกับทุกสภาพอากาศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของปรเทศญี่ปุ่นที่มีนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวอย่างคึกคักทุกๆปีค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : ฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์เลยค่ะ เพราะเราจะได้เห็น ภาพของหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทุกพื้นที่ สวยงามราวกับภาพวาด เป็นความสวยงามอันโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครเลยค่ะ 4.โตเกียว (Tokyo)        โตเกียว (Tokyo) จุดหมายปลายทางยอดฮิตที่ไม่ว่าจะกี่ปี ก็เป็นที่หน่งในดวงใจของคนไทยเสมอมา เต็มไปด้วยรีวิวเที่ยวโตเกียวมากมาย  ซึ่งโตเกียวนั้นได้รับฉายาว่าเป็น East Meets West (อีสต์ มีท เวสต์ ) หรือหมายถึง การมาบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกจนกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะที่เรียกว่า โตเกียว นั่นเองค่ะ        เราจะได้เห็นภาพของอาคารบ้านเรือนกับวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่น ท่ามกลางเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยอันแสนทันสมัย รวมถึงแฟชั่นแบบตะวันตกของตะวันที่ถูกนำมาประยุกต์ให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น โตเกียวจึงเป็นแหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อ ที่สาวกนักช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาดค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  โตเกียวสามารถมาเที่ยวได้ตลอดปี แต่ถ้าอยากชมความสวยงามของซากุระโตเกียว จะเริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม - เดือนเมษายน) หรือจะเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (เดือนตุลาตม - เดือนพฤศจิกายน) ที่ก็สวยไม่แพ้กันค่ะ  5. นิกโก้ (Nikko)      นิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองมรดกโลก ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยเอโดะ เมืองนิกโก้จึงได้ชื่อว่าเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริง เพราะเต็มไปวัดโบราณและศาลเจ้าสวยงามหลายแห่งยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์สวยงามของธรรมชาติ ทำให้นิกโก้ กลายเป็นเมืองญี่ปุ่นสุดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการชมธรรมชาติ สามารถเดินทางไปเที่ยวไม่ยาก เพราะไม่ห่างจากโตเกียวมาก นั่งรถเพียง 2 ชั่วโมงก็มาดื่มด่ำความสวยงามของนิกโก้ได้แบบสบายๆแล้วค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  ไฮไลท์ของนิกโก้ คือธรรมชาติที่สวยงาม ดังนั้นทัวร์ครับขอแนะนำให้มาดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่นิกโก้ในช่วง ใบไม้เปลี่ยนสี หรือในฤดูใบไม้ร่วงค่ะ (เดือนตุลาคม -  เดือนพฤศจิกายน) เพราะต้นไม้ทุกต้นของที่นี่จะพร้อมใจกันผลัดใบ เปลี่ยนเป็นสีส้มแดงกันทั่วบริเวณ นิกโก้จึงเป็นอีกหนึ่งเมืองที่โด่งดังในเรื่องของสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของญี่ปุ่น  6. ซัปโปโร (Sapporo)        ฮอกไกโด (Hokkaido) ดินแดนแหล่งอาหารทะเลสดแสนอร่อยของญี่ปุ่น สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่คุณจะได้สัมผัสกับความสโสว์ไลฟ์แบบญี่ปุ่น วิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่กลับเต็มเสน่ห์อันน่าค้นหา ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะในฤดูของฮอกไกโด ที่จะมีเทศกาลหิมะซัปโปโรประจำปี ซึ่งเต็มไปด้วยรุปปั้นหิมะ และผลงานน้ำแข็งแกะสลักจากศิลปินทั่วโลก จึงเป็นเทศกาลที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินมาซัปโปโร เพื่อมาเยี่ยมชมความสวยงามของเทศกาลซัปโปโรประจำปีนั่นเองค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : เราสามารถเดินทางมาเที่ยวฮอกไกโดกันได้แทบทั้งปีค่ะ แต่โดดเด่นสุดก็จะเป็นช่วง ฤดูร้อน (เดือนพฤษาคม - เดือนสิงหาคม) เป็นช่วงเวลาของดอกไม้ประจำฮอกไกโด อย่างทุ่งดอกลาเวนเดอร์ สีม่วงกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หรือจะเป็นช่วง ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์) จกับสภาพอากาศสุดหนาวเย็น และ เทศกาลหิมะซัปโปโรประจำปี 7. ฟุกุโอกะ (Fukuoka)      ฟุกุโอกะ (Fukuoka) เมืองหลวงแห่งเกาะคิวชู (Kyushu) และถึงจะเป็นเมืองหลวง แต่ฟุกุโอกะยังคงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย จนเราสามารถสัมผัสได้ถึงความชิลและเป็นมิตรของคนฟุกุโอกะเลยค่ะ และเมื่อมาถึงฟุกุโอกะแล้ว ต้องไม่พลาดชิม ฮากาะตะราเมง (Hakata Ramen) ราเมงสูตรท้องถิ่นต้นตำหรับฟุกุโอะ กับเส้นและน้ำซุปต้มกระดูกหมูที่ผ่านการเคี่ยวมาอย่างยาวนาน จนได้รสชาติเข้มข้น ไม่ว่าใครที่ได้ลิ้มลองรสชาติต่างต้องติดใจกันทุกรายค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  ฟุกุโอกะ สามารถไปเที่ยวตลอดทั้งปี ค่ะ แต่จะมีช่วงไฮไลท์ของฟุกุโอะ ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปชม อุโมงค์สีม่วงของดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ที่จะเบ่งบานเพียงช่วงเวลาสั้นในฤดูร้อนเท่านั้นค่ะ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน -  ปลายเดือนพฤษภาคม ทัวร์ครับบอกเลยว่าห้ามพลาด! 8.นารา (Nara)      เมืองนารา (Nara) หรือเมืองแห่งกวาง  เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็จะได้พบเจอกับเหล่าน้องกวางหน้าตาน่ารัก และเป็นมิตรกับผู้คน ซึ่งนอกจากเหล่าน้องกวางสุดน่ารักที่จะมาคอยอ้อนขอขนมแซมเบ้กินจากเราแล้ว นารายังเป็นเมืองแหล่งกำเนิดของขนบธรรมเนียมสำคัญๆของชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นที่ตั้งของ พระพุทธรูปไดบุทสึ (Daibutsuden) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และ วัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple) วัดที่ก่อสร้างด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับ วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดที่มีความเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารานั่นเองค่ะ ไปเที่ยวช่วงไหนดี :  สำหรับการมาเที่ยวนารานั้น เราสามารถมา เที่ยวได้ตลอดปี ค่ะ แต่หากใครอยากจะมาชมความสวยงามของดอกซากุระ พร้อมเหล่าน้องกวาง ก็ต้องมาช่วงกลางเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิของนารา หรือจะเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือฤดูใบไม้ร่วงของนาราที่จะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม  -  เดือนพฤศจิกายน ทัวร์ครับบอกเลยว่าสวยไม้แพ้เมืองอื่นๆของญี่ปุ่นเลยค่ะ  9. คารุอิซาว่า (Karuizawa)       สำหรับเมืองญี่ปุ่นลำดับที่ 9 นี้ ทัวร์ครับจะพาทุกคนเข้าป่ากันไปพักผ่อนในเมืองพักผ่อนสุดฮิตของคนญี่ปุ่น เมืองนี้ถือป็น สวรรค์ของคนรักป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน ภูเขา เมืองคารุอิซาว่า แห่งนี้มีให้ครบทุกรุปแบบค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงสำหรับคนที่อยากจะชมทั้งธรรมชาติและช้อปปิ้งในทริปเที่ยวญี่ปุ่นทริปเดียว เพราะเขตช้อปปิ้งคารุอิซาวะกินซ่า (Karuizawa Ginza) นั้นเป็นแหล่งช้อปปิ้งแสนครบครันที่จะให้คุณเพลิดเพลินได้ตลอดวัน จนกระเป๋าตังค์เบากันแบบไม่รู้ตัวได้ค่ะ  ไปเที่ยวช่วงไหนดี : สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวคารุอิซาว่าก็คือ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนกลางปี (เดือน)ซึ่งเราเราจะเห็นภาพของสีเขียวขจีจากธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นสุดๆเลยค่ะ 10.ฮาคุบะ (Hakuba)       เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) นี้ อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ที่ เมืองฮาคุบะ แห่งนี้ ถือเป็น แหล่งสกีอันลือชื่อของประเทศญี่ปุ่น เลยล่ะค่ะ ซึ่งเมืองอาคุบะนี้ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาชื่อเดียวกับเมือง เราสามารถเปรียบภูเขาลูกนี้ได้กับเทือกเขาแอลป์ (Alps) ของญี่ปุ่น ฮาคุบะจึงกลายเป็นแหล่งสกียอดนิยมของชาวญี่ปุ่น และนักเล่นสกีจากทั่วโลก นอกจากสกีแล้ว เมืองฮาคุบะยังมีชื่อเสียงในเรื่องของ น้ำพุร้อนออนเซ็น (Onsen) ยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ เรียกได้ว่าครบสูตรเมืองพักผ่อนกันเลยทีเดียว ไปเที่ยวช่วงไหนดี : เมืองฮาคุบะนั้นเเหมาะแก่การไปเที่ยวในช่วง ฤดูหนาว ค่ะ (เดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์) เพราะเป็น แหล่งสกีชั้นดีของญี่ปุ่น หรือหากใครอยากจะเปลี่ยนสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี (เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน) เมืองฮาคุบะก็เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ 

อ่านเพิ่มเติม
เตรียมพร้อมก่อนไปญี่ปุ่น! เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ ใช้เน็ตแบบไหนดีนะ ?
เตรียมพร้อมก่อนไปญี่ปุ่น! เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ ใช้เน็ตแบบไหนดีนะ ?

29 มี.ค. 61

        สำหรับคนไทยยุคดิจิตอล 4.0 อย่างเรานั้น ทุกครั้งที่ได้ออกไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องไม่พลาดอัพเดทเรื่องราวบท Social Media ตลอดเวลา ไหนจะต้องลงรูปในเฟสบุ๊ค แชทเล่นไลน์คุยกับเพื่อน หรือเอาไว้เปิดหาข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่นยามฉุกเฉิน ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องสำคัญมากในการไปเที่ยวญี่ปุ่น เลยก็ว่าได้นะคะ และเพราะทัวร์ครับนั้นรู้ใจขาเที่ยวเป็นอย่างดี จึงไม่พลาดรวบรวมข้อมูลการใช้อินเตอร์สำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่นมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ มาดูกันสิว่า ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น เราใช้อินเตอร์เน็ตแบบไหนได้บ้าง ?   Pocket Wifi         หรือ อุปกรณ์กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะว่า ราคาถูก เพราะคิดราคาเหมาจ่ายคิดตามวันที่เราใช้ค่ะ โดยมีราคาแตกต่างกันในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศญี่ปุ่นราคาจะ เริ่มต้นที่ 300 บาทต่อวัน และสามารถ แชร์สัญญาณอินเตอร์ร่วมกับผู้ร่วมทริปได้ อีกด้วยนะคะ ซึ่งข้อควรระวังสำหรับการใช้ Pocket WiFi ความแรงของสัญญาณในบางพื้นที่อาจจะไม่เท่ากัน รวมถึงระยะส่งสัญญาณจากเครื่อง Pocket WiFi สู่โทรศัพท์มือถือของเรา ถ้าหากไกลเกินไปสัญญาณก็จะหาย ดังนั้นเราต้องคอยยืนอยู่ใกล้ๆ กับคนที่พก Pocket WiFi ไว้ค่ะ เพื่อจะได้เล่นเน็ตแบบไหลลื่นเน๊อะ!   ทัวร์ครับขอแนะ : Pocket WiFi ราคาประหยัดที่สุด แล้วค่ะ เหมาะกับแก๊งค์เที่ยวที่ไปกันเป็นหมู่คณะ เพราะเราสามารถ แชร์ได้หลายเครื่อง สูงสุด 5 เครื่อง ค่ะ แต่อาจจะต้องลำบากคอยชาร์จแบตเจ้าเครื่อง Pocket WiFi เพราะว่าถ้าใช้งานหนักจนแบตหมดระหว่างเที่ยวล่ะก็ คงจะเซ็งกันแย่เลย ซิม 2fly จาก AIS (Traveller SIM)         ซิมอินเตอร์เน็ตโรมมิ่งเจ้าดัง ที่เหล่านักเที่ยวญี่ปุ่นต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว กับ SIM2fly จาก AIS เพราะว่า ราคาคุ้มค่า มากๆ สะดวกสบายสุดๆ สามารถใช้เน็ตได้แบบสบายใจ ไม่ต้องคอยมองหาผู้ถือครอง Pocket Wifi สามารถเล่นเน็ตของตัวเองได้แบบชิวๆ ไว้อัพเดทเรื่องราวบน Social Media ได้แบบไม่พัก ซึ่งเราสามารถเลือกใช้แพ็กเกจให้เหมาะสมกับจำนวนวันเดินทางได้ค่ะ มีชนิด 8 วัน และ 15 วัน และไม่เพียงแค่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ยังสามารถใช้ได้อีกหลายประเทศทั่วโลกค่ะ ก่อนจะซื้อก็เช็คกันให้ดีนะคะ จะได้ไม่ซื้อเก้อค่าาา…   ทัวร์ครับขอแนะ : การใช้ซิม SIM2fly นั้นเหมาะกับแก๊งค์เที่ยวที่มีจำนวนไม่เยอะ หรือทริปไปกันน้อยๆ คอยแชร์สัญญาณเน็ตจาก Pocket WiFi เราจะได้เล่นเน็ตกันแบบสบายใจ อีกทั้งแค่ซื้อซิมเปลี่ยนก่อนไปญี่ปุ่น พอถึงญี่ปุ่นปุ๊ปก็ เล่นได้แบบเน็ตส่วนตั๊วส่วนตัว โรมมิ่ง (Roaming)         และวิธีสุดท้ายแบบคลาสสิคสุดๆ คือการเปิดโรมมิ่ง หรือ การเปิดบริการข้ามแดนอัติโนมัติ ถือว่าเป็นวิธีในการใช้อินเตอร์เน็ตต่างประเทศที่ง่ายสุดๆ ค่ะ และยังสามารถใช้ได้ทั้งโทรเข้า - ออก และอินเตอร์เน็ตค่ะ ซึ่งการใช้งานโรมมิ่งนั้นง่ายมากๆ เพียงแค่เข้าไปตั้งค่าในโทรศัพท์ของเราให้เป็นเป็นโรมมิ่งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ใช้ทั้งเน็ตและโทรแบบคล่องปรื๋อที่ญี่ปุ่นได้เลยค่ะ   ทัวร์ครับขอแนะ : การเปิดโรมมิ่งนั้น เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีธุรกิจต้องโทรติดต่อสื่อสารตลอดเวลา แต่ต้องตรวจสอบอัตราค่าบริการจากบริษัทเครือข่ายสัญญาณก่อนเปิดใช้ให้ดีนะคะ เพราะอัตราค่าบริการสำหรับแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากัน ไม่งั้นหลังจบทริปญี่ปุ่นแล้วอาจจะตกใจกับบิลค่าบริการเอาได้นะคะ           หวังว่าทัวร์ครับจะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตตอนเที่ยวญี่ปุ่นได้บ้างนะคะ ส่วนใช้แบบไหนดีที่สุดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ในการใช้ของแต่ละคน เพราะแต่แบบก็มีข้อดี ข้อจำกัดแตกต่างกันไป เอาเป็นว่าสะดวกแบบไหน ก็เลือกใช้ได้ตามใจเลยค่ะ ซึ่งทัวร์ครับขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ตอนเที่ยวญี่ปุ่นก็อย่ามัวจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มากเกินไปนะคะ เอาไปใช้เวลากับการดื่มด่ำบรรยากาศและช่วงเวลาในการท่องเที่ยวจะดีกว่าค่าา... เมื่อได้ข้อมูลวิธีการใช้เน็ตที่ญี่ปุ่นกันไปครบแล้ว ทัวร์ครับจะพาทุกคนไปรู้ลึกเรื่องของ เครื่องรางญี่ปุ่น อีกหนึ่งสิ่งขึ้นชื่อที่ต้องรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น ตามไปอ่านเลยที่  >>> ของดีต้องโดน ! แนะนำ 10 เครื่องรางในตำนานจากญี่ปุ่น ที่ใครๆก็บอกว่าต้องมี< <<

อ่านเพิ่มเติม