เป็นจุดศูนย์กลางทางการบินในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศไปยังจุดต่างๆ ของโลกได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการบินภายในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน หรือระหว่างทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดแวะลงและเชื่อมต่อในการเดินทางของผู้โดยสารตลอดจนพัสดุไปรษณียภัณฑ์ไปยังจุดอื่นๆ ได้อย่างดี
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทางธรรมชาติ มีพื้นที่ชุ่มน้ำในอาณาเขตอันไพศาลจนถูกขนานนามว่า อ่าวฮาลองบนแผ่นดิน หรือฮาลองบก เป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์แปลกตา ที่มีทั้งเทือกเขา เนินเขาหินปูน ที่ราบต่ำ และนาข้าวล้อมรอบด้วยยอดเขา 99 ยอด จึงถือกันว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้คณะปฏิวัติของโฮจิมินห์ก็ได้เคยตั้งฐานทัพขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรกในการศึกเดียนเบียนฟู
ฮาลองบกอยู่ที่เมืองนิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์เก่าแก่เมืองหนึ่งของเวียดนาม และพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ มีภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านรายล้อมอยู่มากมาย ลักษณะคล้ายกับฮาลองเบย์ แต่ที่นี่เป็นน้ำจืดและนั่งเรือพาย ไม่ใช่ขึ้นเรือลำใหญ่เหมือนอย่างที่ฮาลองเบย์ ระหว่างทางล่องเรือนักท่อออเที่ยวจะได้ชมบรรยากาศธรรมชาติอันสุดงดงามของภูเขา พื้นชุ่มน้ำ และทุ่งนา
เป็นสถานที่ที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ประกาศความเป็นเอกราชให้แก่เวียดนามจากฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1945 และตัวจัตุรัสนั้นถูกตั้งชื่อตามชื่อของกลุ่มปฏิวัติ ที่ได้ขับไล่ชาวฝรั่งเศสที่มายึดครองเวียดนาม
เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึงประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ไม่ไกลจากจัตุรัสบาดิงห์ เป็นสถานที่ที่ท่านโฮจิมินห์ได้ยืนประกาศเอกราชให้กับประเทศเวียดนาม
เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนามโดยมีพรมแดนติดกับมณฑลยูนนาน ประเทศจีนทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดไหลโจว ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดฮาเกียง และ ทางใต้ติดกับจังหวัดซอนลา ลักษณะภูมิประเทศแบ่งออกเป็นแบบต่างๆ อาทิ หุบเขา ภูเขาต่ำๆ สูงๆ สลับกัน
เป็นเมืองริมชายแดนจีน-เวียดนามของยจังหวัดลาวไก อยู่ห่างไปประมาณ 400 กิโลเมตรจากเมืองฮานอย เมืองนี้มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่วิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองนั้นเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวยิ่งกว่าสิ่งใด
เป็นหมู่บ้านชาวเขาที่มีชื่อเสียงของซาปา ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Muong Hoa ห่างจากเมืองซาปาไปเพียง 3 กิโลเมตร หมู่บ้านนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 หลังจากตระกูล H'Mong และ Dzao หลายเผ่ามารวมกันจากพื้นที่ภูเขาอื่นๆ ในเวียดนามเหนือ พวกเขาเริ่มปลูกข้าวและข้าวโพดในภูมิภาคเช่นเดียวกับการทอผ้าและงานหัตกรรมต่างๆ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแลนมาร์คที่พลาดไม่ได้หากได้มาเยือนซาปา
เป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสินค้าท้องถิ่น และบรรดาเหล่าชาวเขาได้เดินทางมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ด้วยเครื่องแต่งกายประจำเผ่าต่างๆ
เป็นโบสถ์ประจำเมืองซาปา ที่ทั้งหลังถูกสร้างจากหิน เมื่อปี คส1895 โดยชาวฝรั่งเศสที่เคยมาประจำอยู่ มีหอระฆัง ที่ห้อยระฆังขนาดครึ่งตันไว้ ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีทางศาสนาแห่งเมือง
เป็นสะพานแก้วที่เป็นที่เที่ยวใหม่ของซาปา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองซาปาไปทางตะวันตกประมาณ 18 กิโลเมตร บนความสูงจากระดับน้ำทะเลที่ 2,000 เมตรในเขตเทือกเขา Hoang Lien Son สะพานนี้สร้างโดยกลุ่มทุน Hoang Lien Son Group Joint Stock Company โดยทำจากกระจกใสทั้งหมดซึ่งมีความยาว 300 เมตร สูง 1,000 เมตร เป็นสะพานกระจกที่สูงที่สุดและยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้างบนจะได้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามพร้อมสัมผัสกับสายลมและเมฆที่บินผ่านเบื้องหน้า
เป็นน้ำตกที่มีความงดงามทางธรรมชาติ อยู่บริเวณริมถนนมีความสูงกว่า 100 เมตร ไหลลัดเลาะลงมาจากหน้าผาหินลงมาสร้างความสวยงาม นักท่องเที่ยวนิยมมายืนถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมาก เป็นน้ำตกของภูหามโรง ซื้อมีความสูงมากกว่า100เมตร น้ำตกลงมาตามทางซึ่งแยกน้ำเป็นหลายๆสายและมีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆของเวียดนาม
นำท่านสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ โดยการนั่งรถไฟสู่สถานีฟานซิปัน โดยระหว่างทางนั้นท่านจะได้พบกับทัศนียภาพอันงดงามของสองข้างทาง และวิวทิวทัศน์ของทางรถไฟเลียบเขาตามแนวที่ราบสูง ที่จะทำให้ท่านประทับใจมิรู้ลืม
นั่งกระเช้าไฟฟ้าเดินทางขึ้นสู่ฟานซิปัน ยอดเขาสูงสุดแห่งเวียดนามและในภูมิภาคอินโดจีน จนได้รับการกล่าวขานว่า “หลังคาแห่งอินโดจีน” บนความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 3,143 เมตร ระหว่าทางขึ้นจะได้เห็นวิวของเมืองซาปาและแนวเทือกเขาสูงอันสวยงามจากมุมสูง
เป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดในประเทศเวียดนาม ด้วยความสูงกว่า 3,143 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บนทิวเขาฮหว่างเลียนเซิน ในเมืองซาปา จังหวัดลาวไก ในประเทศเวียดนาม ที่นี่ได้รับฉายาว่า "หลังคาแห่งอินโดจีน"
เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2519 และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเมืองหลวงของพื้นที่เวียดนามในปัจจุบันเป็นครั้งคราวตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึง พ.ศ. 2345 ฮานอยตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแดง อุตสาหกรรมในเมืองคือเครื่องจักร ไม้อัด สิ่งทอ สารเคมี และงานหัตถกรรม
เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่าทะเลสาบน้ำเขียว แต่เพราะตำนานที่ว่ากันว่า หลังจากจักรพรรดิเล เหล่ย ได้ใช้ดาบต่อสู้ขับไล่ผู้รุกราน ได้มาประทับบนเรือในทะเลสาบ ได้มีตะพาบยักษ์มาขอดาบคืนเพื่อเอาไปให้จ้าวมังกรผู้มอบดาบแด่จักรพรรดิเล เหล่ย และดาบก็ได้ลอยไปเข้าปากตะพาบและหายไปในน้ำ จึงได้ชื่อใหม่ว่า ทะเลสาบคืนดาบ
เป็นสะพานสีแดงสดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบคืนดาบ ชื่อของสะพานได้มาจาก “สถานที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในยามเช้า” ซึ่งเหงวียน วัน ซิว (Nguyễn Văn Siêu) กวีและนักค้นคว้าวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มาดำเนินการสร้างไว้เมื่อปี 1865 โดยตัวสะพานเชื่อมต่อระหว่างริมฝั่งกับเกาะเนินหยก สะพานแห่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงฮานอย
เป็นถนนที่มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี ซึ่งเย็นวันศุกร์-อาทิตย์ จะมีตลาดยามค่ำคืน ซึ่งมีของขายมากมาย ซึ่งเมื่อก่อนจะขายของเน้นทางหัตถกรรม แต่สมัยนี้นั้นก็ขายของหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีร้านอาหารข้างถนนเยอะแยะอีกด้วย
เป็นท่าอากาศยานหลักของเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งถูกเปิดใช้(ตึกนานาชาติ) เมื่อต้นปี 2558 และอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 45 กิโลเมตร
เป็นจุดศูนย์กลางทางการบินในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศไปยังจุดต่างๆ ของโลกได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการบินภายในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน หรือระหว่างทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดแวะลงและเชื่อมต่อในการเดินทางของผู้โดยสารตลอดจนพัสดุไปรษณียภัณฑ์ไปยังจุดอื่นๆ ได้อย่างดี