All articles abouts เตรียมตัวเที่ยวญี่ปุ่น

ทัวร์ครับ ชวนรู้!  วิธีเตรียมตัวรับมือให้พร้อม ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

ทัวร์ครับ ชวนรู้! วิธีเตรียมตัวรับมือให้พร้อม ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

09 พ.ย. 61

           ก่อนเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง นอกจากจะต้องจองทัวร์ต่างประเทศให้พร้อม เรายังต้องเตรียมตัวและร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางด้วยนะครับ ในปัจจุบันบางครั้งในแต่ละประเทศก็จะมีการเหตุการฉุกเฉินไม่คาดฝันขึ้น เช่น โรคระบาดต่างๆ ซึ่งวันนี้ ทัวร์ครับจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับระดับการเฝ้าระวัง หากจะต้องเดินทางไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยง จะได้ ปฏิบัติตัวกันได้ถูกต้องและเที่ยวต่างประเทศได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น ครับ โดยหากเมื่อประเทศใด เกิดการระบาดของโรคติดต่อในพื้นที่ จะมีระดับการเฝ้าระวัง ซึ่งสามารถ แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 ระดับจับตา ( Travel Watch ) 👁‍🗨         ในระดับที่ 1 นั้น ยังไม่ห้ามการเดินทางไปยังประเทศนั้นๆ สามารถ เดินทางได้ตามปกติ ครับ เพียงแต่นักท่องเที่ยวอาจจะมีการป้องกันตัวเองเบื้องต้น ด้วยการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรือหากใครที่ยังไม่ได่รับวัคซีนของโรคที่กำลังระบาด สามารถไปรับวัคซีนป้องกันได้ แต่ต้อง 21 วันก่อนเดินทางเท่านั้นนะครับ เพื่อให้วัคซีนได้มีเวลาเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเรานั่นเองครับ       ระดับที่ 2 ระดับเฝ้าระวังและแจ้งเตือน ( Travel Alert ) 📢         ในระดับที่ 2 นั้น ก็ยังคง อนุญาตให้เดินทางได้ตามปกติ เพียงแต่ทาง ภาครัฐจะมีคำแนะนำในการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง หากต้องเดินทางเข้าไปยังพื่นที่ของโรคระบาด ครับ จะได้เดินทางได้อย่างปลอดภัย ราบรื่นและถูกต้องครับผม     ระดับที่ 3 ระดับเตือนภัย (Travel Warning) ⛔️         สำหรับระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นระดับสุดท้าย หากพื้นที่สุ่มเสี่ยงใดเข้าถึงระดับที่ 3 แล้วนั้นหมายความว่า ห้ามเข้าไปยังพื้นที่โดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความรุนแรงของโรคค่อนข้างสูงซึ่งอาจทำให้เราติดเชื้อได้ครับ จึงไม่ควรเสี่ยง เข้าไปยังพื้นที่ระบาดโดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย  นั่นเองครับ               แต่ไม่ว่าระดับการเฝ้าระวังของพื่นที่นั้นจะอยู่ที่ระดับไหน หญิงที่ตั้งครรภ์ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากจะมีความเสี่ยงกับทารกในครรภ์ได้ครับครับ ทางที่ดีทัวร์ครับแนะนำให้ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำ หรือหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงนั้นไปก่อนจะดีที่สุดครับ และหากใครกำลังมีแพลนจะเดินทางไปพื้นที่สุ่มเสี่ยง ทัวร์ขอแนะนำให้คอยติดตามข่าวสารให้ดี และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง รับรองว่าจะได้เที่ยวเพลิน อย่างปลอดภัย สบายใจไร้กังวลแน่นครับผม แน่นอนว่าทัวร์ครับยังมีบทความดีดี ให้ได้ไปฟินกันต่อ กับเคล็ดลับสุดเด็ดเตรียมตัวเที่ยวต่างประเทศ ตามไปอ่านได้เลยที่...   >>> เที่ยวยังไงให้รอด 7 เคล็ดลับ!! เตรียมตัวก่อนไปเที่ยวต่างประเทศ <<<  

อ่านเพิ่มเติม
Japan winter !! หนาวนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเถอะ
Japan winter !! หนาวนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเถอะ

06 พ.ย. 60

"ญี่ปุ่น" ประเทศที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่ บินแค่ 5 - 6 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว มีอากาศเย็นๆ ให้เราได้ชื่นใจ ใส่เสื้อโค้ช ได้ถ่ายรูปกันสวยๆ แล้วก็มีหิมะปุยๆอีกด้วย แล้วจะมีที่ไหนมีหิมะให้ได้เห็นกับแบบฉ่ำปอดบ้างไปดูกันเล้ยยย   1. Shirakawa-go แผนที่ : Shirakawa-go หมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาเป็นเส้นทางระหว่างทาคายาม่า และ คานาซาว่าเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการเลือกให้เป็นหมู่บ้านมรดกโลกที่ยังคงรักษาเอกลักษ์ที่โดดเด่นความสวยงามเก่าแก่ของหมู่บ้าน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะนิยมไปในช่วงฤดูหนาว และเป็นช่วงที่สวยทสุด ได้เป็นหิมะที่ขาวโพลนที่เกาะบนหลังคา นอกจากนี้ก็จะมีเทศกาล light-up ในแต่ละปีก็จะมีแค่ไม่กี่ครั้ง สำหรับปีหน้าก็มีกำหนดการออกมาแล้ว คือ วันวันอาทิตย์ที่ 21 และวันอาทิตย์ 28 มกราคม 2018 วันอาทิตย์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2018     2. Otaru แผนที่ : Otaru เมืองที่มีเสน่ห์และความน่ารักในตัวเอง สามารถเดินทางจากเมืองซัปโปโรเพื่อมาเที่ยวที่นี่ได้แบบเช้าเย็นกลับเพราะใช้เวลาในการเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง เอกลักษณ์ของที่นี่อยู่ที่คลองขนาดเล็กที่อยู่เลียบไประหว่างโกดังสินค้าเก่า ในช่วงหน้าหนาวจะมีการจัดเทศกาล Otaru Snow and Light Path Festival โดยจะจัดในวันที่ 9 - 18 กุมภาพันธ์ 2018 บอกเลยว่าโรแมนติกมากๆ และใครมีโอกาสได้ไปก็อย่าลืมไปแวะร้านขนมหวานที่เปิดเรียกนักท่องเที่ยวแบบสุดๆ     3. สวนสัตว์อาซาฮิยามะ (Asahiyama Zoo) เมืองอะซะฮิกะวะ แผนที่ : Asahiyama Zoo สวนสัตว์ที่ไม่ธรรมดา เพราะสัตว์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกกักขังอยู่ในกรง แต่สัตว์ที่นี่จะได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ “พาเหรด เพนกวิ้น” เป็นพฤติกรรมทางธรรมชาติของมัน ที่จะเดินไปทะเล เป็นหมู่เพื่อหาอาหาร เอามาประยุกต์ใช้ในสวนสัตว์ บวกกับ ความต้องการที่ อยากให้นกเพนกวิน ได้ออกกำลังกายในฤดูหนาว จึงกลายมาเป็นอีเว้นท์น่ารักๆแบบนี้ ในทุกๆปีโชว์นี้จะมีประมาณกลางเดือนธันวาคม - มีนาคม มีโชว์วันละ 2 รอบ ตอน 11:00 น. และรอบ 14:30 น. แต่ถ้าเข้าเดือนมีนาแล้ว จะเหลือเพียงรอบเดียว ความยาวของระยะทางเดินประมาณ 500 เมตร ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที อันนี้แล้วแต่น้องกวิ้น ><”     4.Sapporo snow festival แผนที่ : Sapporo snow festival เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของญี่ปุ่น เราจะได้เพลิดเพลินไปกับประติมากรรมหิมะและน้ำแข็งแกะสลักสวย ๆ เล่นหิมะแบบหนำใจ ต้องไม่พลาดงานเทศกาลหิมะแห่งเมืองซัปโปโร เทศกาลยิ่งใหญ่ในช่วงฤดูหนาว ถือเป็นจุดแลนด์มาร์กที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมมากที่สุดแห่งหนึ่งจากทั่วทุกมุมโลก สำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึงก็มีกำหนดการออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยจะขึ้นวันที่5-12 กุมภาพันธ์ 2018 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 8 วัน โดยภายในงานจะมีการจัดแสดงโชว์ผลงานแกะสลักน้ำเเข็งมากกว่า 200 ชิ้น และประดับด้วยแสงไฟหลากสีสันอลังการสุดๆ     5. Niseko แผนที่ : Niseko แหล่งสกีที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในรีสอร์ทที่ใหญ่และดีที่สุดแห่ง Niseko นั่นก็คือรีสอร์ท Grand Hirafu หิมะที่นี่เป็นหิมะชั้นดี ละเอียดเหมาะกับการเล่นสกี จุดเด่นของที่นี่ก็คือการเดินเล่นในป่าช่วงฤดูหนาวที่จะทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์ของป่าที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ โดยกิจกรรมนี้เหมาะกับการมาเป็นครอบครัวเพราะทุกคนจะได้เดินชมความงามจากป่าในฤดูหนาวไปด้วยกัน นอกจากนี้แล้วยังมีบริการที่พัก และบ่อแช่น้ำร้อนออนเซ็นและสระว่ายน้ำให้ได้ใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างเต็มที่ในสกีรีสอร์ทแห่งนี้ด้วย เปิดช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม.   6. Mt.fuji แผนที่ : Mt.fuji ไปดูภูเขาไฟฟูจิในช่วงหน้าหนาวจะได้เห็นฟูจิที่สวยที่สุดเพราะจะมีหิมะปกคลุมเยอะที่สุด และนอกจากนี้ท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวก็ยังโปร่ง ใส มีโอกาสได้เห็นฟูจิชัดอีกด้วย   7. Jigokudani Monkey Park แผนที่ : Jigokudani Monkey Park ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าลิงภูเขาหรือลิงหิมะจำนวนกว่า 200 ตัว เป็นลิงที่อยู่ตามธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมลิงแช่ออนเซ็นได้ตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่มักจะนิยมเที่ยวในช่วงฤดูหนาว(เดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ์) เพราะเราจะได้เห็นภาพลิงภูเขาแช่ออนเซ็น จะได้ใบหน้าแดงก่ำเมื่อมันแช่ตัวอยู่ในน้ำร้อน ดูมีความสุขมากๆ และเราก็จะมีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์ของภูเขาหิมะสีขาวโพลน และสองข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาๆ ตลอดทาง โดยมีเจ้าลิงป่าลงแช่ออนเซนกลางแจ้ง   8.Snow Monster Yamagata Zao Onsen Ski Resort ,Yamagata ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตในการเล่นสกีไฮไลต์หลักของที่นี่คือการเล่นสกีและชม “ ปีศาจหิมะ ” (Snow Monster) หรือจูเฮียว (Juhyou) เกิดจากน้ำค้างและหิมะที่เกาะอยู่ตามป่าสนบนยอดเขา เมื่อเจอกับความหนาวต่ำกว่า 0 องศา ก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งเกาะคลุมต้นสนอย่างหนาแน่น จนรูปร่างคล้ายปีศาจ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่าจูเฮียว ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ทุกปี ที่ป่าแห่งนี้จะมีการเปิดไฟส่องสว่างไปยังผืนป่าเป็นสีสันต่างๆสร้างความสวยงามเป็นอย่างมาก ใครที่เมื่อยจากการเล่นสกีก็อย่าลืมแวะแช่ออนเซ็นผ่อนคลายกล้ามเนื้อกันได้ด้วย อ่านต่อ : ตะลอนทัวร์ 10 เมืองญี่ปุ่นต้องโดน! เที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ไม่เบื่อ... สนใจโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่น คลิกเลย

อ่านเพิ่มเติม
เที่ยวญี่ปุ่นปีใหม่ไฉไลกว่าเดิม ! 10 กิจกรรมเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่
เที่ยวญี่ปุ่นปีใหม่ไฉไลกว่าเดิม ! 10 กิจกรรมเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่

27 พ.ย. 61

เอาล่ะ! ถึงเวลาแนะนำ ‘กิจกรรมน่าทำ’ และ ‘สถานที่ท่องเที่ยวน่าไป’ กันแล้ว เตรียมจดไว้ดีๆ แล้วจับลงแพลนด้วยนะครับ จะได้เที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่สนุกยิ่งขึ้น : )   1. ไปจับ Lucky Bag เริ่มจากกิจกรรมเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ที่น่าทำกันก่อน กับหนึ่งสิ่งที่เราชอบมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ ณ ประเทศญี่ปุ่น และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงชอบเช่นกัน นั่นก็คือการได้เปิด “ถุงโชคดี” หรือ “Lucky Bag” นั่นเอง มันเป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง ที่เราต้องมาลุ้นว่าของข้างในที่ได้จะเป็นอะไร แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความคุ้มค่านะครับ เพราะของในถุงโชคดีส่วนใหญ่ มักมีมูลค่ามากกว่าเงินที่เราจ่ายไปนั่นเอง ซึ่งเจ้าถุงโชคดีที่ว่านี้ หาซื้อง่ายมากในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าเล็กๆ หรือร้านค้าใหญ่ๆ ดังๆ ก็ต่างมี Lucky Bag เตรียมไว้ให้ลูกค้าทั้งนั้น เอาเป็นว่าหากใครมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อย่าพลาดเชียวนะครับ 2. ไปตีระฆัง และกินโซบะข้ามปี ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นแล้วนั้น ในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญมากเลยล่ะครับ ซึ่งการกินโซบะข้ามปีเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างฮิตทีเดียว เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่า การกินโซบะข้ามปีนั้นจะช่วยให้อายุยืนยาว นอกจากนี้ที่วัดก็จะมีการตีระฆัง จำนวน 108 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับกิเลสของมนุษย์ (ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น) เหมือนเป็นการไล่กิเลสและเริ่มต้นปีใหม่นั่นเอง ใครมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงปีใหม่ อย่าลืมไปร่วมทำกิจกรรมเหล่านี้ดูนะครับ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ กัน 3. ไปไหว้ขอพรที่วัดหรือศาลเจ้า ปกติแล้ว คนญี่ปุ่นจะไหว้เจ้าขอพรใน ช่วงวันที่ 1 - 3 มกราคม ของทุกปี เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่อย่างสดใส และเป็นมงคลกับชีวิต ซึ่งวัดฮิตๆ อย่าง วัดอาซากุสะ หรือวัดคิโยมิสึ ก็จะคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายเลยล่ะครับ ทั้งชาวญี่ปุ่นเอง และนักท่องเที่ยวเพราะช่วงปีใหม่ทุกคนก็ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั่นเอง 4. ไปแต่งกิโมโน ใครที่ไปญี่ปุ่นในช่วงปีใหม่ จะเห็นได้ว่าท้องถนน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะวัด ศาลเจ้า หรือสวนสาธารณะ จะเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวด้วยชุดกิโมโนเต็มไปหมด เพราะช่วงนี้ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุข และชาวญี่ปุ่นก็มักจะเฉลิมฉลองกันครับ บอกเลยว่ามันได้ฟีลสุดๆ ลองเลือกร้านกิโมโนดีๆ แล้วแต่งตัวกด้วยกิโมโนเที่ยวสักหนึ่งวัน รับรองว่านอกจากจะได้รูปสวยๆ ไว้อัพอวดเพื่อนแล้ว ยังได้ความประทับใจด้วยล่ะ 5. ช้อปปิ้ง ณ ชินจุกุ - ฮาราจุกุ พิกัด : Shinjuku , Harajuku แนะนำกิจกรรมกันไปแล้ว มาต่อกันที่สถานที่เที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ที่น่าไปกันบ้างครับ ปกติแล้วเวลาเราๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็มักช้อปปิ้งจนวงเงินบัตรเต็มอยู่แล้ว แต่ว่าการช้อปปิ้งในช่วงปีใหม่เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ เพราะของจะลดราคาแบบสุดๆ แถมมักยังมีสินค้าน่ารักๆ สินค้า Limited Edition ให้ได้ช้อปกันด้วยล่ะ อ้อ! แล้วก็อย่างที่บอกไปแต่แรก นั่นก็คือ Lucky Bag นั่นเอง เพราะฉะนั้นย่านชินจุกุ - ฮาราจุกุ จึงเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาด ต้องไปให้ได้ จดไว้ในแพลนเลยนะครับ 6. ไหว้พระ ณ วัดอาซากุสะ - วัดคิโยมิสึ ถ้าไปโตเกียว ก็ต้องห้ามพลาดวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดงอันโด่งดัง ไปไหว้ขอพรที่นั่น พร้อมกับเลือกซื้อเครื่องรางของขลังติดกระเป๋า ก่อนปิดท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียวเลเวลสิบ ให้ฟินๆ ฉ่ำๆ กันไปเลย ส่วนใครเลือกเที่ยวแถบคันไซ โอซาก้า - เกียวโต - โกเบ ก็ต้องอย่าลืมจดวัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใสลงไปในแพลนด้วยนะครับ 7. เที่ยวเมืองเก่า คานาซาว่า - ทาคายาม่า พิกัด : Kanazawa , Takayama สำหรับคนที่อยากสัมผัสกับความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น แบบ Original ดั้งเดิมของแท้ ก็ต้องจับย่านเมืองเก่าวางลงไปในแพลนด้วยนะครับ ซึ่งเมืองที่เราแนะนำก็มี คานาซาว่า เมืองที่มีหมู่บ้านแบบชุมชนญี่ปุ่นดั้งเดิม และปราสาทคานาซาว่าชื่อดัง โดยสามารถนั่งชินคันเซ็นจากโตเกียวราว 2 ชั่วโมงครึ่ง , ทาคายาม่า เมืองฝาแฝดของเกียวโต ที่ใครมีแพลนไปชิราคาว่าโก ก็ควรที่จะต้องแวะดู รับรองว่าจะหลงรักเสน่ห์ของเมืองนี้อย่างแน่นอน 8. ไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่เฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่การได้แห่งแสงแรก ชมพระอาทิตย์แรกของปี ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ เลยล่ะครับ แล้วอย่างยิ่งสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วนั้น ถือว่าการได้ชมพระอาทิตย์แรกของปีนั้นจะได้รับพลังมหาศาล ขอพรอะไรก็จะสำเร็จสมความปรารถนา มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงตลอดปีเลย ดังนั้นถ้ามีโอกาส อย่าลืมขึ้นเขาเพื่อไปชมแสงแรกกันด้วยนะครับ 9. ขึ้นภูเขาทาคาโอะ รับวิวใหม่ๆ พิกัด : Takaosan อย่างที่บอกว่า หนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของชาวญี่ปุ่นก็คือ การชมพระอาทิตย์แรกของปี และภูเขาที่ยอดฮิต และเดินทางง่าย อยู่ใกล้โตเกียวก็คือ ภูเขาทาคาโอะ ครับ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นแสงแรกของปี ณ ที่แห่งนี้แล้ว ยังสามารถเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วยนะครับ เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ถึงสองเลย คุ้มค่ากับการใส่ลงไปในแพลนมากๆ 10. ดูไฟฟินๆ โรแมนติกสุดๆ ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ที่ญี่ปุ่นก็จะมีงานจัดแสดงไฟมากมายเลยล่ะครับ แล้วยิ่งช่วงเทศกาลปีใหม่ ไฟก็จะถูกประดับออกมาสวยเป็นพิเศษ ถ้าหากใครไม่ได้ไปนาโกย่า ที่มีงานประดับไฟชื่อดังอย่าง Nabana No Sato ก็สามารถเลือกชมไฟตามสถานที่ต่างๆ เช่น ย่านรปปงงิ , Tokyo Dome , ย่านชิบูย่า แทนก็ได้นะครับ สวยไม่แพ้กัน ที่สำคัญชมฟรีด้วยนะเออ และนี่ก็เป็น Guideline เล็กๆ ที่ Tourkrub นำมาแนะนำให้ทุกคนกัน ลองเลือกสถานที่ที่น่าสนใจ และกิจกรรมที่น่าทำ แล้วจับวางลงแพลนดูนะครับ การเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงปีใหม่ครั้งนี้ จะได้ไม่จำเจ และสร้างความประทับใจแบบไม่รู้จบไปเลยย  อ่านต่อ พาไปชม “Nabana No Sato Winter Light Illumination” งานประดับไฟยิ่งใหญ่ระดับโลก!  

อ่านเพิ่มเติม
พาไปชม “Nabana No Sato Winter Light Illumination” งานประดับไฟยิ่งใหญ่ระดับโลก!
พาไปชม “Nabana No Sato Winter Light Illumination” งานประดับไฟยิ่งใหญ่ระดับโลก!

26 พ.ย. 61

สำหรับ 🎆 Nabana No Sato Winter Illumination 🎇 ถือได้ว่าเป็นเทศกาลไฟประดับที่โด่งดังไปทั่วโลก ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนตั้งใจมาเที่ยวญี่ปุ่นเพื่องานนี้เลยครับ ซึ่งจะจัดขึ้นที่ธีมพาร์คสวนดอกไม้ใน Nagashima Resort เมืองคุวานะ ของจังหวัดมิเอะ ในภูมิภาคคันไซ แต่จะสะดวกกว่าถ้าหากเดินทางมาจากนาโกย่าครับ โดยสำหรับปี 2018 - 2019 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – พฤษภาคม ยาวๆ กันไปเลย มาๆ ก่อนอื่นต้องขอป้ายยา รีวิวกันแบบจัดหนักก่อน ใครลังเลอยู่จะได้รีบกดจองตั๋วให้ไว : ) cr.pantip.com/topic/36927733 เริ่มจากการเดินทาง ขอบอกว่าง่ายมากๆ ง่ายสุดๆ ไปเลย เพราะสามารถ Take Bus จาก Meitetsu Bus Center ที่นาโกย่า ต่อเดียวถึง เดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงเอง สะดวกสุดๆ ไม่ต้องต่อรถให้วุ่นวาย นั่งชมวิวเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้วล่ะ รถจะจอดที่หน้ารีสอร์ทเลยครับ ไม่ต้องกลัวหลงนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ Nabana No Sato Winter Light Illumination นั่นเอง เห็นมั้ยบอกแล้วว่าสะดวกฝุดๆหรือถ้าซื้อทัวร์มากับทัวร์ครับแล้วล่ะก็มีรถรับส่งสบาย  พิกัด : Nabana No Sato Winter Light Illumination cr.pantip.com/topic/36927733 พอไปถึงที่หน้ารีสอร์ท ก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมกันเล้ยยย ราคาค่าเข้าคนละ 2,300 เยน แต่มีคูปองสำหรับซื้อขนม อาหาร หรือของฝากภายในงานให้ด้วย 2 ใบ ใบละ 500 เยนครับ หักลบออกมาแล้วก็ไม่แพงเลยนะครับ และยิ่งไปกว่านั้น เราขอแนะนำให้มาถึงช่วงประมาณ 4 โมงเย็น เพื่อเดินชมและถ่ายรูปกับเจ้าดอกไม้สวยๆ กันก่อน ส่วนเวลาเปิดไฟของงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination ก็จะประมาณ 6 โมงกว่าๆ มาทีเดียวควบ 2 ไปเลย คุ้มมว๊ากกก นอกจากสวนดอกไม้สดใสสวยงามแล้ว ทัศนียภาพของรีสอร์ทแห่งนี้ก็สวยไม่แพ้กันนะครับ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก เตรียมแบตกล้องไปให้พอล่ะ แล้วก็มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย หากเดินชมสวนจนเหนื่อยแล้วมานั่งทานมื้อเย็น พักก่อนจะไปลุยดูไฟตอนกลางคืนกันต่อก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันนะ ราคาอาหารก็ไม่แพงเลย พันกว่าเยนเท่านั้น!! สามารถใช้คูปองที่ได้มาตอนซื้อบัตรจ่ายแทนเงินสดแล้ว Top Up เพิ่มเข้าไปได้เลย สุดยอดไปเลยครับ และแล้วก็ถึงเวลาค่ำที่เรารอคอย ไฟมาแล้วฮะ บอกเลยว่าสวยมากกกก!! พูดคำว่า สวย สวย สวย ทุกย่างก้าวที่เดิน เพราะมันสวยจริงๆ ครับ มีการประดับไฟเป็นรูปต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟฟูจิ แม่น้ำ ทุ่งหญ้า ต้นคริสมาสต์ และอีกหลากหลายเรื่องราวสลับกันไป พร้อมกับดนตรีบรรเลงคลอไปด้วยกัน โรแมนติกสุดๆ อากาศเย็นๆ เดินจับมือแฟน ซุกมือไว้ในกระเป๋าของเสื้อโค้ท โอ๊ยยย พระเอกนางเอกซีรี่ย์มาเองเลยนะเนี่ย (แอบกระซิบสาวๆ ว่า ใครที่คบหาดูใจกันมาถึงขั้นวางแผนอนาคตร่วมกัน อย่าลืมแต่งตัวสวยๆ เผื่อคุณผู้ชายจะคุกเข่าเซอร์ไพร์เราก็เป็นได้นะครับ อิอิ มาถึงจุดพีค ที่เป็นไฮไลท์ของงานกัน แอบต้องแย่งชิงพื้นที่นิสนุง เพราะทุกคนต่างมะรุมมะตุ้มที่นี่ แนะนำให้ใจเย็นๆ แล้วจะได้รูปสวยๆ นะจ๊ะ จุดที่ว่าก็คือ Tunnel of Light หรืออุโมงค์ไฟความยาวกว่า 200 เมตร นั่นเอง มันสวยมว๊ากกก อลังการดาวล้านดวงสุดๆ เลยล่ะ ตลอดเส้นทางก็จะถูกประดับด้วยไฟเล็กๆ กุ๊กกิ๊กปุ๊กปิ๊ก น่ารักสุดๆ จนลั่นชัตเตอร์แทบไม่ทัน และในแต่ละปีก็จะมี Theme ที่แตกต่างกันไปด้วยนะครับ หากใครอยากชมงานแบบ 360 องศา บนความสูงกว่า 45 เมตร เราแนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 500 เยน เพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอยที่มีชื่อว่า Island Fuji  ขอบอกว่านอกจากจะสูงและเสียวแล้ว ยังสวยมากๆ อีกด้วย เพราะเราจะได้มองเห็นวิวของ Nabana No Sato Winter Light Illumination แบบรอบด้าน ประหนึ่งว่ากำลังดูทะเลดาวอยู่เลยล่ะ รอคิวนิดนึงแต่แลกกับความสวยงามตื่นตาตื่นใจ และทำให้การเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม เราว่าคุ้มมากๆ เลยนะครับ เมื่อเราเดินชมงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination จนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลากลับกันแล้วล่ะ เราขอแนะนำว่าให้ออกก่อนงานปิดประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแย่งกันขึ้นบัส คนเยอะจะรอนานครับ และที่สำคัญ ควรเช็ครอบรถบัสก่อนนะครับ จะได้วางแผนและกะเวลาให้ถูก ส่วนจุดขึ้นรถบัสก็คึอที่หน้ารีสอร์ท จุดเดียวกับตอนขามาเลยครับ นั่งครึ่งชั่วโมง ถึงนาโกย่าอย่างปลอดภัย ย้ำกันอีกที สำหรับงาน Nabana No Sato Winter Light Illumination ในปี 2018 - 2019 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2018 – 6 พฤษภาคม 2019 นะครับ เพราะฉะนั้นหากใครอยากไปดูไฟประดับ และเที่ยวญี่ปุ่นแบบสัมผัสอากาศหนาวไปด้วย ช่วงปลายปีนี้กำลังเหมาะสมสุดๆ หรือใครอยากได้แค่อากาศดีๆ ไม่ต้องหนาวมาก แถมหากดวงดีก็อาจจะได้เห็นซากุระด้วย แนะนำหลบร้อนจากเมืองไทยเราไปเที่ยวในช่วงเดือนเมษายน - เดือนพฤษภาคม ปีหน้าก็ดีเหมือนกันครับ บอกเลยว่ามันสวยจริงๆ และอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้งนะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน : ) สามารถดูทัวร์ญี่ปุ่น ได้ที่นี่เลย คลิก!! อ่านต่อ : หนาวนี้ห้ามพลาด เที่ยว “Sapporo Snow Festival” เทศกาลหิมะซัปโปโร  

อ่านเพิ่มเติม
TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !!
TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !!

24 ธ.ค. 61

ฮั่นแน่... อยากรู้กันแล้วใช่ไหมครับ ว่าจะสนุกสนาน น่าประทับใจขนาดไหน ตามมาเลยคร๊าบบ… สวัสดีชาวทัวร์ครับทุกคนครับ ก่อนเราจะไปเริ่มต้นทริปทัวร์โตเกียวของเรากันนั้น มาฟังจุดเริ่มต้นของทริปทัวร์โตเกียวนี้กันเลยดีกว่า เราบอกได้เลยว่าริทปนี้นั้นเกิดขึ้นแบบงงๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผมเคลียร์งานเสร็จหมดแล้ว ก็เลยพักผ่อนอยู่บ้านชิวๆ แต่ด้วยความเบื่อก็เลยลองหาทัวร์โตเกียวราคาไม่แพงดูไปพลางๆ ก็ได้เจอกับทัวร์โตเกียวราคาโดนใจ เพียงพอกับงบในกระเป๋าน้อยๆของเรา จึงไม่รอช้า รีบจองเลยซิคร๊าบบ...ในที่สุดก็จะได้ไปเยือนดินแดนในฝันที่ใครก็อยากมาสัมผัสซักครั้ง ตื่นเต้นสุดๆไปเลย! และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง ซึ่งของจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ - หนังสือเดินทาง หรือ พาสสปอต (สำคัญมาก!) - เงินเยน (YEN) & บัตรเครดิต (เราเลือกที่จะแลกที่สนามบินชั้นใต้ดิน เพราะสะดวกสุดๆ) - Sim 2 fly (Sim โรมมิ่งสุดฮิต ขาประจำ) - หัวปลั๊ก Universal Adapter (ซื้อครั้งเดียวคุ้ม! ปลั๊กเดียวใช้ทั่วโลก) ทัวร์โตเกียว DAY 1 : วันแรก และความดีของการไปกับทัวร์ญี่ปุ่น เราก็จะได้รับใบนัดหมายก่อนเดินทาง ซึ่งจะบอกรายละเอียดการเดิน สถานที่นัดหมายก่อนเดินทางเพื่อไปเช็คอิน และเราควรมาถึงสนามบินก่อนเวลานัดหมายสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางนั่นเองครับ หลังจากเช็คอินพร้อมโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เวลาเหินฟ้าสู่ญี่ปุ่น ด้วย สายการบิน Nok Scoot กรุงเทพ – นาริตะ ซึ่งครั้งนี้เราได้นั้งเครื่อง Boeing 777-200 (บนเครื่องมีบริการอาหารนะครับ แต่ต้องเสียตังค์เพิ่มเองครับ ) ที่นั่งแบบ 3-3-3 ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง  นั่งสบายๆ หลับกันไปยาวๆ เก็บแรงไว้เที่ยวกันให้เต็มที่พรุ่งนี้ครับ   ทัวร์โตเกียว DAY 2 : วันที่ 2 เข้าสู่วันที่ 2 แล้ว ซึ่งเราก็ยังคงอยู่บนเครื่องเหมือนเดิมครับ 5555 เพิ่มเติมคือง่วงและเมื่อยมาก แต่พอได้มองออกไปนอกหน้าต่าง ความเหนื่อยล้าก็พลันหายไป เมื่อเห็นท้องฟ้าสีครามกับเมฆขาวปุกปุย ซึ่งพี่ไกด์ก็แนะนำให้ไปเพิ่มความสดชื่นด้วยการล้างหน้าแปรงฟันสักหน่อย เพราะอีกไม่กี่อึดใจ เราก็ถึง “สนามบินนาริตะ” ประเทศ ญี่ปุ่น กันแล้วจ้าา...ซึ่งเวลาที่ประเทศ ญี่ปุ่น จะเร็วกว่าที่ไทย 2 ชม. นะครับ ดังนั้นอย่าลืมตั้งเวลาใหม่กันด้วยนะครับ หลังจากไกด์พาเราผ่าน ตม.ญี่ปุ่น มาแล้ว (ไม่ต้องกลัว ตม.นะครับ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น คอนเฟิร์ม) ซึ่งไกด์ก็จะยืนคอยลูกทัวร์เพื่อคอยแจ้งจุดรับกระเป๋า รวมถึงจุดนัดพบ  หลังจากกระเป๋าแล้ว เราก็เดินไปที่จุดรวมตัวที่ไกด์นัดไว้ โดยพี่ไกด์ก็จะให้แอดไลน์ไว้ หากมีปัญหาอะไร สามารถติดต่อพี่ไกด์ผ่านไลน์ได้เลยนะคร้าบ หลังจากขึ้นบัส นั่งกันเรียบร้อย ไกด์แจกข้าวกล่อง กับ น้ำดื่มให้คนละชุด พร้อมกับอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งความเหนื่อยทำให้หลับแบบไม่ได้ฟังพี่ไกด์เลย (ขอโทษด้วยครับ มันง่วงจริงๆ) พิกัด : Asakusa เมื่อร่างกายได้กินอิ่มนอนหลับ ก็เหมือนได้ชาร์จพลังกลับมาเต็มร้อย พร้อมลุย! ไม่นานเราก็มาถึงที่เที่ยวแรกของเรา นั้นก็คือ วัดอาซากุสะ (Asakusa) วัดเก่าแก่ที่ใจกลางมหานครโตเกียว มีความศักดิ์สิทธิ์และผู้คนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก จุดเด่นของวัดนี้ที่ใครๆมาเป็นต้องถ่ายรูปกันทุกคน นั้นก็คือ โคมไฟยักษ์สีแดง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยทางเดินตลอดสองข้างทางนั้น ยังเต็มไปด้วยร้านขายขนม และของที่ระลึกยาวตลอดเส้น เห็นแล้วชวนให้คิดถึงงานวัดบ้านเราเหมือนกันนะครับเนี่ย ^^ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นฤดูร้อนของญี่ปุ่น ขอบอกเลยว่า อากาศร้อนใช้ได้เลยครับ คือสามารถแต่งตัวเหมือนไทยได้เลยครับ 55555 พิกัด : Gotemba Premium Outlets เริ่มต้นทริปทัวร์ญี่ปุ่นด้วยการไหว้พระขอพรกันแล้ว ช่วงบ่ายเราก็ไปช้อปปิ้งกันต่อที่ โกเท็นบะ แฟคทอรี่ เอ้าท์เล็ต (Gotemba Premium Outlets) แหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อของโตเกียวซึ่งเต็มด้วยแบรนด์เนมชั่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ รวมไปถึงยังมีร้านอาหารขึ้นชื่อมากมายให้เราได้ลิ้มลองอีกด้วย แต่จุดเด่นจริงๆของเอ้าท์เล็ตแห่งนี้ ไม่ใช่แค่ของช้อปแบบจุใจเท่านั้น แต่เป็นวิวธรรมชาติโดยรอบต่างหากครับ เพราะที่นี่นั้นตั้งอยู่บนภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกหลังภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามที่สุดแห่งนึงอีกด้วย หลังจากเดินเล่นชมวิวกันมาพักใหญ่ ท้องมันก็เริ่มหิว ซึ่งอาหารเย็นวันนี้เป็นแบบฟรีสไตล์ สามารถเลือกทานกันเองได้ตามใจ เราก็เลยหาของกินในโซน Foodland ซึ่งภาพในนั้น มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ทั้ง สเต็ก ราเมน อุด้ง ข้าวหน้าแกงกะหรี่ และของหวานนาๆชนิด ด้วยความที่เราเป็นคนชอบทานแกงกะหรี่อยู่แล้ว จะพลาดได้อย่างไรละ ของมันต้องลอง!!! หลังจาาอิ่มท้อง ก็ได้เวลาเดินทางไปที่ โรงแรม Hotel MIFUJI อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ฝั่งทะเลสาบยามานากะ เป็นโรงแรมเล็กๆสไตล์ญี่ปุ่น ที่เงียบสงบมาก บรรยากาศรอบๆที่พักเป็นทุงนาและภูเขา อากาศเย็นสบายแม้อยู่ในฤดูร้อน เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นที่สุดเลยครับ ส่วนห้องพักนั้น มีให้เราเลือกหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดา และสวีท โดยห้องที่ผมพักในคืนนี้นั้น ทางโรมแรมการันตีว่าเป็น ห้องที่วิวดีที่สุดของโรมแรมแห่งนี้เลย เพราะเป็นห้องเดียวที่เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มๆตา แทบจะอดใจรอชมไม่ไหวแล้วว!!! สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักนั้น มีครบทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเปน แอร์ ฮีทเตอร์ ทีวี ตู้เย็น ไดท์เป่าผม wifi ขาดแค่อย่างเดียวคือไม่มีที่อาบน้ำ แต่ไม่ต้องตกใจนะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้านิยมแช่ออนเซ็นมาก ซึ่งทางโรงแรมเค้าก็มีออนเซ็นให้ ดังนั้น ห้องพักที่เป็นห้องสวีทจึงไม่มีที่อาบน้ำให้นะจ้ะ ต้องไปอาบในออนเซ็นแทน(แต่ห้องแบบปกติมีนะ) โดยทางโรงแรมจะมีการเตรียมชุด ยูกาตะ ไว้ให้แขกทุกท่านสำหรับการแช่ออนเซ็น ใครอยากรู้ว่าออนเซ็นของจริงเป็นยังไง ต้องลองมาด้วยตัวเองนะคร้าบบ อิอิ รับรองเลยว่าจะติดใจแน่นอนครับ หลังจากแช่ออนเซ็นจนสุก... เอ้ย สุขสบายทั้งตัวแแล้ว ก็ได้เวลากิน อีกแล้ว ซึ่งอาหารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ เป็นอาหารเรียบง่ายสไตล์ท้องถิ่นแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น อย่างเช่น โมจิชาเขียว ซุปมิโซะ ไก่อบข้าว และอื่นๆอีกมากมาย แต่ของเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ ขาปูยักษ์ และที่เด็ดกว่านั้นคือ กินเท่าไหร่ก็ได้ไม่อั้น!! โอย..สวรรค์โดยแท้จริงๆครับ หลังจากที่จัดการขาปูยักษ์ไปครึ่งโล กับอาหารแสนอร่อย แล้วยกเบียร์อีก1กระป๋อง ในที่สุดก็ได้นอนตาหลับซักที 5555 นี่ขนาดแค่เที่ยววันแรกยังรู้สึกคุ้มขนาดนี้ แล้ววันพรุ่งนี้จะคุ้มขนาดไหนกันนะ ต้องรอชมกัน.. ทัวร์โตเกียว DAY 3 : วันที่ 3 และแล้วเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นตอนตี 4 (ตี 4 ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มสว่างแล้วครับ) ผมรีบลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วมองออกไปนอกห้องก็ได้เห็นคุณฟูจิซังออกมาทักทาย สมแล้วจริงๆครับที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องวิวดีที่สุดของโรงแรม ชมวิวจนอิ่มใจแล้ว ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ลงไปเติมพลังรับวันใหม่    โดยอาหารเช้าวันนี้ ก็เป็นอาหารเช้าง่ายๆสไตล์ญี่ปุ่น แต่ความเด็ดดวงอยู่ที่ ทาโกะยากิเข้มข้น และโมจิหอมกลิ่นชาเขียว และซุปมิโซะกลมกล่อม โออิชิมากๆ ของแท้มันดีแบบนี้นี่เอง!! พิกัด : Oshino Hakkai Village เติมพลังกันแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยัง โฮชิโนะฮักไค หรือที่คนไทยเรียกกันว่ หมู่บ้านน้ำใส เพราะบริเวณหมู่บ้านน้ำผุด ซึ่งเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนภูเขาฟูจิไหลซึมผ่านชั้นหิน จึงทำให้น้ำที่นี่มีความใสสะอาดสุด (ว่ากันว่าสามารถดื่มได้เลยครับ) อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ 10 ถึง 12 องศา แถมยังเต็มไปด้วยฝูงปลาน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ในลำธารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดเป็นความสวยงาม มีเอกลักษณ์ที่แปลกและไม่เหมือนใครเลยครับ ภายในหมู่บ้าน ยังมีการจำหน่ายสินค้า OTOP ของที่นี่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ น้ำแร่ โมจิ ขนมหวาน และเราก็ไม่พลาดที่จะลอง ไอศกรีมชาเขียว ของขึ้นชื่อของที่นี่กัน อื้มมม~ ฟินสุดๆไปเลยครับ!! พิกัด : Kawaguchiko ต่อจากหมู่บ้านน้ำใส เราก็ไปกันที่ ทะเลสาบคาวากูชิโกะ เป็น 1 ใน 5 ทะเลสาบที่โอบล้อมอยู่รอบๆภูเขาไฟฟูจิ สันนิฐานว่าเกิดจากการละลายของน้ำแข็งในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พิกัด : Fuji Mountain นับว่าเป็นทะเลสาบที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยครับ และก็ตรงกับเวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาอาหารกลางวันของเราพอดี เมนูวันนี้เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบเซต มีทั้ง ชาบู อุด้ง หมูหมักซอส ผักดอง และข้าวสวยร้อนๆ อาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ท่ามกลางวิวอันสวยงามของทะเลสาบ ยิ่งทำให้อาหารอร่อยขึ้นไปอีกกก...พออิ่มแล้วเราก็เดินทางกันต่อ ไปยังอีกหนึ่งแลนด์มาร์คเด็ดญี่ปุ่น ที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ  ภูเขาไฟฟูจิ นั่นเอง ซึ่งทางทัวร์ ก็พาเราขึ้นมาถึง ภูเขาไฟฟูจิ ชั้น 5 เพื่อสัมผัสของการอยู่บนภูเขาไฟฟูจิ โดยหากใครอยากไปถึงชั้น 10 ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 2 วัน ขอข้ามไปก่อนละกัน ไว้มีโอกาสจะมาพิชิตให้ได้เลยครับ!! พิกัด : Komitake Shrine ความรู้สึกแรกที่เมื่อถึงเลยคือ หนาวมากกก... หนาวจริงๆ คือตอนอยู่ด้านล่าง อุณหภูมิประมาณ 30 บวกได้ แต่พอขึ้นมาด้านบน กลับเหลืออยู่แค่ 10 องศานิดๆเท่านั้น ยิ่งบางช่วงที่มีลมพัดมานี่อาจจะร้องซี๊ดได้เลยนะครับ จากนั้นเราก็แวะขอพรกันที่ ที่ ศาลเจ้าโคมิทาเกะ ให้ผู้มาเยือนอย่างเราได้กราบไหว้ขอพรด้วยนะครับ เมื่อชื่นชมความสวยงามของคุณฟูจิซังกันจนหนำใจแล้ว เราก็นั่งรถกลับมาในโตเกียว เพื่อนไปยัง ย่านโอไดบะ (Odaiba) อีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งของโตเกียว โดยเฉพาะสาวกอนิเมะ ต้องอยากมาสัมผัสย่านนี้แน่นอนครับ เพราะนอกจากจะมีของให้ช้อปกันอย่างสนุกสนานแล้ว ไฮไลท์เด็ดของโอไดบะก็คือ หุ่นกันดั้ม ขนาดเท่าของจริง รวมถึงคาเฟ่กันดั้ม ให้กับแฟนกันดั้มได้ฟินกับตัวละครในดวงใจ ขนาดผมไม่ใช่แฟนตัวจริง ยังรู้สึกอินไปด้วยเลยครับ เพราะงั้นแฟนกันดั้ม ต้องมาให้ได้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยครับ!! พิกัด : Odaiba หลังจากเดินทางเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว เราก็เดินทางกลับโรงแรม พักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้เป็นวัน Free Day ที่ทางทัวร์จะปล่อยให้เราเที่ยวได้อย่างอิสระ เป็นโอกาสที่ดีของเราที่จะได้ไปใครอยากไปเที่ยวตามใจได้อย่างเต็มที่ ส่วนตัวผมนั้น วางแผนไว้หมดแล้ว จะไปที่ไหนบ้าง ก็รอชมกันนะคร้าบบ ^^ ทัวร์โตเกียว DAY 4 : วันที่ 4 สวัสดีเช้าวันที่4 เช้าแห่งวันฟรีเดย์ สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ถือว่าตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นจุดชมวิวโตเกียวแบบ 360 องศา โดยด้านบนมีทั้ง คาเฟ่ ร้านอาหาร และของที่ระลึกครับ พิกัด : Tokyo Skytree ผมเริ่มโดยนั่งรถจากโรงแรมมาที่สนามบินนาริตะ แล้วต่อรถไฟสายสีส้มมาลงที่สถานี Oshiage station Skytree ได้เลย เดินขึ้นมาจากสถานนีนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ แรกๆอาจจะงงกับแผนที่รถไฟหน่อยนะครับ นั่งไปซักพักเดี๋ยวก็ชินครับ สำหรับคนที่ไม่เคยมา และอาจจะงงกับแผนที่ ผมแนะนำให้ใช้ Google Map นะครับ ใช้งานง่ายมาก บอกทางละเอียดสุด สามารถตามได้เลย ถึงที่หมายแน่นอนครับ พอขึ้นมาจากสถานีรถไฟ ก็เห็นกับตึกสูง สีขาวสุดแสนจะโมเดิร์น โดยวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไปชมวิวที่ชั้นความสูง 350 เมตร แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าสูงไม่พอ ก็สามารถเพิ่มความท้าทายกันได้ที่ชั้น 450 เมตรครับ เมื่อซื้อตั๋วกันเสร็จแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์ไปกันที่ชั้นความสูง 350 กันเลยครับ ชมวิวโตเกียวจนสบายใจแล้ว ก็ลงมาเดินเล่นที่ด้านของโตเกียวสกายทรี ก็เลยได้มีโอกาสชงชาเขียวสไตล์ญี่ปุ่น ที่จะเสริฟพร้อมกับโมจิชิ้นเล็กๆไว้ทานคู่กัน วิธีชงคือ เทน้ำร้อนใส่ถ้วยชา แล้วใช้แปรงตีให้เข้ากันจนเกิดฟอง ยิ่งตีนานรสสัมผัสที่ได้ก็จะยิ่งนุ่มละมุนมากขึ้น..หอมละมุน สมคำล่ำลือจริงๆครับ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เราจะไปตะลุยต่อก็คือ โตเกียวทาวน์เวอร์ (Tokyo Tower) หอส่งสัญญานโทรทัศน์และวิทยุที่มีต้นแบบมาจากหอไอเฟล ที่เที่ยวโตเกียวที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด โดยเรานั่งรถไฟสายสีชมพู (Asakusa line) มาลงที่สถานี Daimon Station ออกจากสถานทีก็เดินต่ออีกหน่อย หรือจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการนั่ง Taxi ไปก็ได้นะครับ แต่สำหรับผมสายเดินอยู่แล้วครับ แค่นี้ชิวมาก อิอิ ระหว่างทางไป Tokyo Tower เราจะเจอ วัดโซโจจิ อีกวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่กับเมืองโตเกียวมาอย่างยาวนาน เราสามารถเดินเข้าไปชม แวะถ่ายรูปเพลินๆกันก่อนที่จะถึง Tokyo Tower กันก่อนได้ พิกัด : Tokyo Tower ในที่สุดเราเจอกับโตเกียว ทาวน์เวอร์ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คเด็ดของโตเกียว ซึ่งโตเกียว ทาวน์เวอร์นั้นถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามของโตเกียวเลยละครับ าคาตั๋วของนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 900 เยน/คน แต่ผมไม่ได้ขึ้นนะครับ เพราะเต็มอิ่มกับบรรยากาศโตเกียวจากขึ้นโตเกียวสกายทรีแล้วนั่นเองครับ ผ่านไป 2 แลนด์มาร์คโตเกียวแล้ว แต่เวลายังเหลืออยู่ ผมก็เลยตัดสินใจไปต่ออีกนิด  กับ ชิงช้าสวรรค์โอไดบะ (Odaiba Ferris Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดันต้นๆของโลกกันเลยทีเดียวครับ การเดินทางก็ไม่ยาก แค่นั่งรถไฟจากสถานี Daimon station มาลงที่ Shimbashi station แล้วต่อรถไฟสายสีน้ำเงินมาลงสถานี Odiba-Kaihinkoen จากนั้นก็เดินออกมาจากสถานีนิดหน่อยก็ถึงแล้วล่ะคร้าบบ ^^ พิกัด : Odaiba Ferris Wheel หลังจากลุยเที่ยวโตเกียวมาทั้งวันจนหมดแรง ก่อนกลับที่พักก็แวะทานข้าวที่ร้าน Sukiya ร้เห็นเมนูแนะนำของทางร้านเป็น ข้าวหน้าปลาไหล เลยจัดมา 1 ชุด มาพร้อมกับหมูผัดซอสเทอริยากิ และซุปมิโซะหอยลาย ส่วนรสชาตินะหรอ ให้ภาพมันเล่าเรื่องแทนแล้วกันครับ…   ทัวร์โตเกียว DAY 5 : วันที่ 5 และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปทัวร์โตเกียว รู้สึกยังไม่อยากกลับเลย แอบใจหายเหมือนกันนะครับเนี่ย แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา หลังจากเก็บของใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมกัน และมุ่งหน้าไปที่สนามบินกันต่อเลย… หลังจากเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จแล้ว ถ้าหากใครเวลา และเงินเยนยังเหลือ ไม่อยากกลับไปแลกให้ขาดทุน ก็สามารถมาเดินช้อปปิ้งด้านใน Duty Free เพื่อซื้อของฝากติดไม่ติดมือกันได้นะครับ อย่างผมก็ได้ไปหลายอย่างเหมือนกัน 555555 ก่อนจะจากกันครั้ง ผมหวังว่ารีวิวประสบการณ์การไปเที่ยวทัวร์โตเกียวของผมในครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนตัดสินใจออกไปสัมผัสโลกใบใหญ่ใบนี้ รวมถึงการไปเที่ยวกับทัวร์ก็ไม่ได้แย่เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย งบประมาณไม่บาน รีวิวครั้งนี้ถือเป็นรีวิวครั้งแรกของผม หากมีข้อผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะครับผม หากมีโอกาสอาจจะได้พบกันใหม่นะครับ   ขอบคุณและสวัสดีครับ          Sayonara.      BOATTIDTIEW   อ่านต่อ >> กินหรูปูอร่อย! ตะลอนกิน 5 ร้านบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ที่ญี่ปุ่น <<  

อ่านเพิ่มเติม
ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ
ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ

25 ธ.ค. 61

และพอนึกถึง “จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ” 🗻 เบอร์หนึ่งตลอดกาลที่เป็น Landmark สำหรับนักท่องเที่ยว ก็คงเป็นที่อื่นไปไม่ได้นอกจาก ทะเลสาบคาวากูชิโกะ และ เจดีย์แดง 5 ชั้น แต่วันนี้ สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ อยากให้ลืมแลนด์มาร์กทั้ง 2 แห่งนี้ไปก่อนนะครับ เพราะทัวร์ครับ เรามีอีก 5 จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยไม่แพ้กัน แถมยังได้รูปในมุมมองแปลกใหม่ไม่เหมือนใครอีกด้วย มาฝากกันล่ะครับ มาดูกันเลยครับว่าจะมีที่ไหนบ้าง  1. ศาลเจ้า Fujisan Hongu Sengen Taisha พิกัด : Fujisan Hongu Sengen Taisha หนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่าเป็น ญี่ปุ่นของแท้ ก็คือเสาแดงนั่นเอง และที่ศาลเจ้านี้เพื่อนๆ จะได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่โดดเด่นอยู่ด้านหลัง ตัดกับสีแดงอันสดใสของเสาแดงครับ นอกจากวิวที่ตระการตาแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีประวัติความเป็นมาอันน่าสนใจ เพราะเป็นศาลเจ้าแห่งความศรัทธา ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อระงับการปะทุของภูเขาไฟฟูจินั่นเอง สำหรับการเดินทาง บอกเลยว่ามาง่ายมากๆ เพียงนั่งรถไฟ JR สาย Minobu Line ไปลงสถานี Nishi-Fujinomiya แล้วเปิดแมพเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมายแล้วครับ   2. Gotemba Premium Outlets พิกัด : Gotemba Premium Outlets ขอเอาใจนักท่องเที่ยวที่รักการช้อปปิ้งกันบ้างนะครับ กับที่นี่เลยที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะ Gotemba Premium Outlets คือแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ที่มีร้านค้าและสินค้าราคาถูกมากมาย รวมถึงร้านอาหารอร่อยๆ กว่า 200 ร้านเลยทีเดียว มาที่นี่นอกจากจะได้ละลายทรัพย์แล้ว ยังจะได้ดูวิวภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย มาเที่ยวเดียวได้ถึงสอง ดีไปอีก การเดินทางนี่ง่ายแสนง่าย เพราะเพียงเพื่อนๆ นั่งรถไฟ JR สาย Gotemba Line เพียงต่อเดียวเท่านั้น ไปลงที่สถานี Gotemba แล้วนั่งรถ Shuttle Bus มาลงที่เอาท์เล็ท ก็จะถึงแล้วครับ 3. Mishima Skywalk พิกัด : Mishima Skywalk cr.cultured creatures แลนด์มาร์กแห่งใหม่ สำหรับการชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเลยครับที่นี่ เพราะเพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปี แต่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมากๆ โดยที่นี่เพื่อนๆ จะสามารถเดินทอดน่อง รับอากาศชิลๆ บนความสูงระดับ 70 เมตร ระยะทางกว่า 400 เมตร ไปพร้อมๆ กับการชมวิวและถ่ายรูปกับภูเขาไฟฟูจิ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นและแปลกใหม่สุดๆ ไปเลย อ้อ! เสียค่าเข้านะครับ แต่ราคาไม่แพงเลย เพียงแค่ 1,000 เยนเท่านั้นครับ เทียบกับวิวที่ได้แล้วนั้น เรียกว่าจ่ายเงินหลักร้อย แต่ได้วิวหลักล้านเลยน๊า วิธีเดินทางก็คือ เพื่อนๆ สามารถนั่งรถไฟ JR สาย Tokaido Line ไปลงสถานี Mishima แล้วต่อรถบัสหมายเลข 5 ไปลงที่ Mishima Sky Walk ได้เลยครับ 4. หมู่บ้านโอชิโนะฮักไค พิกัด : Oshino Hakkai ใครที่อยากเห็นหมู่บ้านที่มีหลังคาโบราณ แบบชิราคาวะโกะ แต่ก็อยากชมวิวภูเขาไฟฟูจิไปพร้อมๆ กัน ขอแนะนำที่นี่เลยครับ ที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีบ่อน้ำ 8 บ่อ ที่น้ำใสมากๆ เพราะเป็นน้ำจากหิมะที่ละลายในช่วงฤดูร้อน และไหลมาจากทางลาดใกล้ๆ ภูเขาไฟฟูจิ โดยผ่านหินลาวาที่มีรูพรุนอายุกว่า 80 ปีเลยล่ะ มาที่นี่นอกจากจะได้ถ่ายภาพกับบ้านหลังคาโบราณแล้ว ยังได้เห็นภูเขาไฟฟูจิใกล้ขึ้นอีกด้วยนะครับ การเดินทางอาจจะต้องใช้เวลาสักนิด เพราะต้องนั่งรถบัสจาก Gotemba Station หรือ Kawaguchiko Station มาอีกราวๆ 1 ชั่วโมงครับ แต่แลกกับวิวระดับนี้ นั่งนานกว่านี้ก็ยอมนะ 5. สถานี Shin-Fuji ปิดท้ายกับจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่เพื่อนๆ สามารถมองเห็นฟูจิซังแบบ Full HD เลยทีเดียว นอกจากจะใกล้มากๆ แล้ว ยังถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และมาง่ายมากๆ ไม่ต้องเหนื่อยเดินหรืออะไรทั้งนั้น แต่ได้วิวหลักล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ Shinkansen วิ่งผ่าน แล้วเราลั่นชัตเตอร์ได้พอดิบพอดี ก็จะออกมาเป็นภาพที่แสนสวยงาม มองเห็นภูเขาไฟฟูจิลูกโตๆ ตั้งอยู่ด้านหลัง เป็นคำตอบได้ดีทีเดียวว่า เจ้าภูเขาไฟลูกนี้ มันใหญ่โตมโหฬารขนาดไหน !! อย่างที่บอกว่า จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิแห่งนี้ ไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลย เพราะเพื่อนๆ สามารถนั่งรถไฟ Tokaido-Sanyo Shinkansen จากสถานีโตเกียว มาลงที่สถานี Shin-Fuji ได้เลย ต่อเดียวถึง สบ๊ายสบาย เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ในมุมมองใหม่ๆ ที่เราคัดมาแนะนำให้ได้รู้จักกัน เริ่มลังเลแล้วล่ะสิว่าจะเลือกไปที่ไหนดี ?? จริงๆ จะบอกว่า ทั้ง 5 สถานที่ที่เราเลือกมาให้ ก็อยู่ไม่ได้ไกลกันเลยนะครับ ลองวางแผนดีๆ อาจจะสามารถไปชมวิวได้มากกว่า 1 ที่ก็ได้ และนอกจาก 5 สถานที่นี้แล้ว ยังมีอีกหลายที่เลยที่สามารถชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้เช่นเดียวกัน เช่น ไร่ชาเขียว Nihondaira , ป่าสน Mihono Matsubara หรือหากใครไม่มีเวลาออกจากโตเกียว ก็สามารถไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้ที่ ภูเขาทาคาโอะ , Tokyo Sky Tree ได้เช่นเดียวกัน และสำหรับใครที่ไม่มีเวลาแวะ ก็ยังชมวิวจากบนรถไฟ หรือแม้กระทั่งบนเครื่องบินก็ได้เหมือนกันนะ อย่างที่บอกว่า ภูเขาไฟฟูจิ ยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในรัศมีไม่ไกลเกินไป ก็สามารถเห็นภูเขาไฟลูกโตๆ นี้ได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ     บทความแนะนำ >> TOKYO – FUJI 5D3N : รีวิวทัวร์โตเกียว ไปทัวร์คนเดียว..ก็เปรี้ยวได้ !! <<    

อ่านเพิ่มเติม
หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น
หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น

08 ม.ค. 62

ญี่ปุ่น ฤดูหนาว ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงยอดนิยมของคนไทยเรา คงด้วยเพราะความเบื่ออากาศเมืองไทยที่ไม่หนาวสักที กับความอยากสัมผัสปุยหิมะขาวโพลนสักครั้งในชีวิต ทำให้ ทัวร์ญี่ปุ่น ฤดูหนาว ขายดีเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ ทัวร์ครับ เลยหยิบ 10 สถานที่น่าพาตัวเองไปฟิน เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาว มาฝากกัน จะมีที่ไหนบ้าง มาดูกันเลยยยย 💨 1.หมู่บ้านชิราคาวะโกะ พิกัด : Shirakawago สถานที่ยอดฮิตและคงจะฮิตไปอีกนานสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาวนี้ เพราะมันสวยจริงๆ แถมเล่นตัวนิดๆ ด้วยเพราะช่วงเวลาที่สวยสุดๆ 1 ปี มีแค่ 4 วันนะจ๊ะ คือวันที่เค้าเปิดไฟ Light Up นั่นเอง ซึ่งในแต่ละปีก็ต้องมารอลุ้นกันครับว่าเค้าจะกำหนดวันเป็นวันที่เท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปดู Light Up ก็สามารถไปเที่ยวได้ตลอดฤดูหนาวเลยนะ สวยไม่แพ้กันนนน ☃️ 2. คลองโอตารุ พิกัด : Otaru ไปฮอกไกโดยังไงก็ต้องไปที่นี่ เพราะถือว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ใครๆ ก็ต้องมาเช็คอินไม่งั้นแปลว่ามาไม่ถึงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่จะมีช่วงเวลา Otaru Snow and Light Path ที่เค้าจะเปิดไฟเรียงรายตามแนวคลอง โรแมนติกได้อีก ถ้าหากใครไปช่วงนี้แล้วเจอคนคุกเข่าขอแต่งงานกันเพียบก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ก็บรรยากาศมันพาไปอ่า ~ 3. Sapporo Snow Festival ยังอยู่กันที่เกาะเหนือของญี่ปุ่นกันบ้าง ฤดูหนาวแบบนี้ หิมะแบบนี้ จะหนีเทศกาลนี้ไปไหนพ้นได้ล่ะครับ เพราะเป็นเทศกาลสุดฮิตที่ผู้คนนิยมไปกัน แถมที่พีคกว่านั้นก็คือการแกะสลักหิมะ ที่ทีมจากประเทศไทยเราไปคว้าแชมป์มาได้ตั้งหลายสมัย ทีนี้ล่ะเจออากาศหนาวให้จุใจกันไป พร้อมกับเจอภาพที่สวยงามของเทศกาลนี้ไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ 4. คิโรโระ สกี รีสอร์ท พิกัด : Kiroro Ski Resort เอ่ยชื่อไปอาจจะยังทำหน้างงๆ กันอยู่ แต่ถ้าพูดว่า รีสอร์ทในหนังเรื่อง “แฟนเดย์” ร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน เพราะที่นี่คือต้นแบบของความโรแมนติก และเป็นที่ที่เหล่านักท่องเที่ยว เหล่าคู่รักต่างจับจองที่เพื่อจะมาที่นี่กันทั้งนั้น นอกจากจะได้เล่นสกีสนุกๆ สร้างประสบการณ์ใหม่แล้ว “ระฆังแห่งความรัก” ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่หลายๆ คนตั้งใจมาขอพรเช่นเดียวกันครับ 5. สวนสัตว์อาซาฮิยามะ พิกัด : Asahiyama Zoo ใครเป็น Animals Lover ต้องมาที่นี่เลยค่ะ เพราะที่นี่คือสวนสัตว์ที่ไม่เหมือนสวนสัตว์ที่ไหนๆ เพราะสัตว์ต่างๆ ของที่นี่ไม่ได้อยู่ในกรง แต่อาศัยอยู่อย่างธรรมชาติครับ ส่วนไฮไลท์ของที่นี่มันสุดแสนจะน่าร๊าก เพราะนั่นคือ ขบวนพาเหรดของเหล่าเพนกวิ้นตัวน้อย ที่พากันเดินเรียงแถวไปหาอาหารนั่นเอง รับรองใครที่ชอบเพนกวิ้นมีกรี๊ดดังๆ แน่นอน 6. ทะเลสาบคาวากูชิโกะ พิกัด : Kawaguchiko อาจจะดูธรรมด๊า...ธรรมดา แต่จริงๆ แล้ว ทะเลสาบคาวากูชิโกะ ก็เป็นที่ยอดฮิตในฤดูหนาวเช่นเดียวกันนะครับ เพราะด้วยความที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โดยมีเบื้องหลังเป็นฟูจิซังอันยิ่งใหญ่ ที่ใส่หมวกแบบเต็มที่ ทำให้เป็นภาพที่น่าประทับใจสุดๆ และขอบอกไว้เผื่อใครยังไม่ทราบ ว่าในฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งที่สุด มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มๆ แน่นอนครับ 7. ดิสนีย์แลนด์ และ ดิสนีย์ซี พิกัด : Tokyo Disneysea จูงมือแฟน ควงแขนคนรักไปที่นี่ด่วนๆ ถ้าอยากได้บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก เพราะในช่วงฤดูหนาวนี่แหละที่ทางดิสนีย์จะประดับไฟ 🎠 ตกแต่งบรรยากาศให้มีความ Festive สุดๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้านในแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในโลกเทพนิยายเลยครับ แล้วถ้าหากวันไหนโชคดีมีหิมะตก คงไม่ต้องอธิบายนะคะว่าจะโรแมนติกมากขนาดไหน 🎡 8. Yamagata Zao Onsen Resort พิกัด :  Yamagata Zao Onsen Resort อีกหนึ่งสกีรีสอร์ทที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก นั่งรถไฟราวๆ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายครับ ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวที่ไม่อยากขึ้นไปภาคเหนือก็ต่างตบเท้ามาที่นี่กัน นอกจากความกว้างใหญ่ให้เล่นสกีได้อย่างจุใจแล้ว ไฮไลท์ของที่นี่อย่าง Snow Monster ที่เป็นต้นสนที่มีหิมะปกคลุม ดูคล้ายตุ๊กตาสโนว์แมน ก็เรียกแขกได้ดีทีเดียวเลยครับ 9. Strawberry Farm กิจกรรมยอดฮิตในญี่ปุ่น ฤดูหนาว ถ้าไม่ชอบหิมะก็มีการเก็บสตรอว์เบอรี่นี่แหละ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนจองตั๋วมาเที่ยวในฤดูนี้ ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่ากันว่าสตรอว์เบอรี่ของญี่ปุ่นลูกใหญ่ แถมยังสดและหวาน ฟินสุดๆ ทำให้หลายๆ คนอยากมาสัมผัสด้วยตนเอง แต่ขอบอกว่าควรจะจองล่วงหน้าก่อนนะครับ เพราะฟาร์มสตรอว์เบอรี่ที่ญี่ปุ่นเต็มไวมากๆ เลย ซึ่งเมืองที่ใกล้ๆ โตเกียวที่ฮิตๆ ก็ที่เมืองจิบะ  10. Jigokudani Monkey Park พิกัด : Jigokudani Monkey Park เหล่าลิงภูเขา หรือลิงหิมะกว่า 200 ตัว จะลงมาแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นในฤดูหนาว โดยหน้าตาของมันช่างน่ารักมากๆ ใบหน้าแดงกล่ำ บวกกับอริยาบทที่กำลังแช่ออนเซ็นอย่างเพลิดเพลินเรียกรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียวค่ะ แต่มาที่นี่ไม่ใช่แค่การชมลิงออนเซ็นเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงการชมวิวภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมดด้วยต่างหาก มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว เพลิดเพลินตามากๆ   ใครมีแพลนไปญี่ปุ่นในฤดูหนาว ก็ลองดู 10 สถานที่ไฮไลท์ที่เรานำมาฝากกันดูนะครับ แต่บอกเลยว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในฤดูหนาวของญี่ปุ่นยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลประดับไฟต่างๆ, ตลาดคริสมาสต์ หรือสถานที่ต่างๆ ที่ประดับไฟและตกแต่งให้บรรยากาศของเทศกาลสิ้นปีสุดๆ เลย   ดู ทัวร์ญี่ปุ่น ราคาสุดคุ้ม ได้ที่ https://tourkrub.co/japan-tour อ่าน >> ตามเก็บให้ครบ !! รวม 5 จุดไฮไลท์สำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิ     

อ่านเพิ่มเติม
ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด
ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด

09 ม.ค. 62

ซึ่งบอกเลยว่า ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งกับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่เองที่ไม่อยากจะเที่ยวข้ามภูมิภาค และกับนักท่องเที่ยวขาประจำ ที่เบื่อกิจกรรมเดิมๆ จากเมืองใหญ่ ต่างตบเท้าหิ้วกระเป๋าก้าวเข้ามาเที่ยวที่ นาโกย่า กันเพียบเลยล่ะค่ะ และถ้าอยากรู้ว่าที่ นาโกย่า มีอะไรให้เที่ยวบ้าง จะน่าสนใจขนาดไหน ก็ตาม ทัวร์ครับมาเลย เพราะเราได้รวบรวม 10 แลนด์มาร์กนาโกย่า มาไว้ให้ที่นี่แล้ว เชื่อเถอะว่าพออ่านจบจะอยากไป เที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า แน่นอน !!! 1. ปราสาทนาโกย่า พิกัด : Nagoya Castle หน้าตาละม้ายคล้ายปราสาทโอซาก้า แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ที่นี่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์กของ นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เลยครับ ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า จะต้องแวะมาทักทาย และเช็คอินที่นี่เป็นการเริ่มต้นทริป ปราสาทนาโกย่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมากว่า 400 ปี ด้านในมีนิทรรศการที่น่าสนใจหมุนเวียนกันไป ส่วนด้านนอกก็มีสวนให้เดินเล่นรอบๆ ใครมาตอนซากุระบานยิ่งฟิน เพราะที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่สวยมากๆ เลยล่ะ 2. สวนชิโรโทริ เทอิเอ็น พิกัด : Shirotori Garden สวนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นาโกย่า มีการออกแบบที่ดี สวยงาม และมีต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่นี่ ในฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ก็ออกดอกสวยบานสะพรั่ง ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็มีใบไม้แดงที่สวยงามเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้องน้ำชา ที่เปิดต้อนรับให้นักท่องเที่ยวที่รักการดื่มชา ได้แวะไปชิมชา และยังมีร้านอาหารอร่อยๆ ด้านในด้วยนะครับ มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ที่เดียวครบทุกรสกันไปเลย 3. วัดโอสึคันนง พิกัด : Osu Kannon Temple วัดดังใจกลางเมืองนาโกย่า ที่ไม่ว่าใครผ่านมาที่เมืองนี้จะต้องมาที่นี่กันทั้งนั้น นอกจากจะมาสักการะพระพุทธรูป Kannon ที่นับว่าใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับย่านการค้า Osu Shopping Arcade ทำให้ระหว่างทางของ 2 สถานที่นี้มีร้านค้าเรียงรายกว่า 2,000 ร้าน ทั้งร้านอาหาร และร้านให้จับจ่ายซื้อของ ช้อปปิ้งเพลินจนลืมเหนื่อยเลยล่ะครับ 4.พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นาโงย่า พิกัด : Nagoya City Science Museum บอกแล้วว่าเมืองนี้มีการผสมผสานกันเป็นอย่างดี ระหว่างความคลาสสิคสมัยเก่า และความทันสมัย อย่างพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งนี้ ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีนวัตกรรมอันทันสมัยมากมายในนาโกย่า ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ห้องที่มีอุณหภูมิ -30 องศา เพื่อให้ลองสัมผัสกับแสงเหนือ, พายุหมุนทอร์นาโดจำลอง ความสูง 9 เมตร และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่ชอบวิทยาศาสตร์ มาเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ก็แวะมาที่นี่ได้ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ 5. Toyota Automobile Museum ใครชอบรถเก่าเตรียมเสียงกรี๊ดไว้ให้พร้อม เพราะที่นี่จะพาไปพบกับรถยนต์ Toyota ตั้งแต่คันแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรถเก่าสุดคลาสสิคตั้งแต่ช่วงที่เริ่มก่อตั้งบริษัทก็อยู่ที่นี่ ทั้งรถคลาสสิคอีกมากมายที่รอให้ทุกคนไปยลโฉมอยู่ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ประวัติของบริษัทโตโยต้าไปในตัวด้วย เดินเล่นชมความงามของรถเหล่านั้นเพลินจนลืมเวลากันเลยทีเดียว 6.พิพิธภัณฑ์ศิลปะโทคุงาวะ พิกัด : Tokugawa Art Museum อีกหนึ่งมิวเซียมที่น่าสนใจมากๆ ในทริปเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า มีผลงานจัดแสดงมากมาย ซึ่งถูกบริจาคโดยลูกหลานตระกูล Owari Tokugawa เช่น เฟอร์นิเจอร์หลากหลายชิ้น, ของใช้ภายในบ้าน, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และอื่นๆ อีกมากมายที่นำมาไว้ที่นี่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมได้เห็นวิถีชีวิตของไดเมียว หรือขุนนางญี่ปุ่นสมัยก่อนนั่นเอง 7. SC MAGLEV and Railway Park ใครชอบรถไฟญี่ปุ่นบ้าง? ที่นี่บริหารโดยบริษัท JR Central ชื่อคุ้นๆ ใช่ไหมล่ะคะ โดยจะนำรถไฟเก่าที่ปลดระวาง ไม่ได้ใช้งานแล้วมาจัดแสดง มีทั้งรถไฟของ JR และที่สำคัญมี Maglev หรือรถไฟความเร็วสูงด้วยนะครับ นอกจากนี้ยังมีรถจักรไอน้ำ และอื่นๆ อีกมากมายเลย ทั้งยังได้จำลองรถไฟ, ระบบจำลองการขับเคลื่อน และโมเดลสามมิติ เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เดินชมอีกด้วย 8. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่า พิกัด : Nagoya Aquarium อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของนาโกย่าที่แอดมินปลาบปลื้มมากๆ (เพราะชอบ Aquarium อยู่แล้ว) แต่ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นตรงที่นอกจากความเพลิดเพลินที่เราได้รับแล้ว ยังได้ความรู้อีกมากมายกลับไปด้วย ส่วนไฮไลท์ที่ชอบที่สุดของเราก็คงเป็น การแสดงโชว์ทอร์นาโดปลาซาดีน ที่ปลาซาดีนหลายร้อยตัวว่ายเป็นวงลอยสูงขึ้นไปอย่างพร้อมเพียงกัน และโชว์เจ้าวาฬเบลูก้า ครับ 9. Oasis 21 พิกัด : Oasis 21 ความทันสมัยของนาโกย่าไม่ได้มีแค่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแลนด์มาร์กแห่งนี้ด้วย ในเวลากลางวันก็สามารถมาเดินเล่นชิลๆ ในสวนสาธารณะสีเขียวขจี เดินช้อปปิ้งในห้างที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หรือเดินชมวิวจากหลังคากระจก ส่วนในเวลากลางคืนนั้นที่นี่ก็จะเปิดไฟประดับสวยงาม เรียกได้ว่าอยู่ได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยันไม่ตก ยันกลางคืนเลยครับ 10. LEGOLAND Nagoya ปิดท้ายกันในทริปเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ที่ธีมปาร์คที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ซึ่งหากพูดว่าหลายคนมานาโกย่าเพราะที่นี่ก็คงไม่ผิดนัก เป็นสวนสนุกที่สร้างจากตัวต่อเลโก้กว่า 17 ล้านชิ้นเลยทีเดียวครับ ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กๆ เท่านั้นที่จะ Enjoy ไปกับเหล่าเลโก้ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นต่างๆ ได้ด้วยเช่นกันนะครับ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันสำหรับคนรักของเล่นเลยล่ะ และนี่ก็คือ 10 ไฮไลท์เบาๆ ของเมืองนาโกย่า ที่เรานำมาแนะนำให้รู้จักกัน แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่นี้นะ ยังมีแลนด์มาร์กอีกมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านชิราคาวะโกะ , เมืองทาคายาม่า , Nagashima Resort ที่เป็นสถานที่จัดงาน Nabana no Sato Winter Ilumination และยังมีอาหารอร่อยๆ อีกมากมายเลย เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจ และน่ามาเที่ยวไม่แพ้เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นเลยครับ   อ่านต่อ บทความแนะนำ >>หนาวนี้ต้องมีฟิน!! รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในญี่ปุ่น<<  

อ่านเพิ่มเติม
เที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ! รวมที่เที่ยว “ญี่ปุ่น” ฤดูนี้ไปไหนดีนะ ??
เที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ! รวมที่เที่ยว “ญี่ปุ่น” ฤดูนี้ไปไหนดีนะ ??

10 ม.ค. 62

มาพูดถึงเรื่องสภาพอากาศกันบ้าง ที่ญี่ปุ่นเนี่ยมีทั้งหมด 4 ฤดูกาล ได้แก่ 🌿 ฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ☀️ ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม 🍂  ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกันยายน - เดือนพฤศจิกายน และ ☃️ ฤดูหนาว เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือว่าเที่ยวได้ทั้งปีเลยนะครับ เพราะแต่ละฤดูก็มีความน่าสนใจแตกต่างกันไป วันนี้ ทัวร์ครับ เลยขอรวบรวมไฮไลท์เด่นๆ ของแต่ละฤดูมาให้ เผื่อเพื่อนๆ กำลังมีแพลนไปญี่ปุ่น แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปฤดูไหนดี จะได้เลือกได้ถูกใจนะครับ ไปดูกันเล้ยยยยย ~ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม) สำหรับฤดูนี้ สิ่งที่พีคฝุดๆ หนีไม่พ้นเลยก็คือ การไปชมดอกซากุระ ครับ ซึ่งมันสวยมว๊ากกก ความสีชมพูละมุน บวกกับอากาศเย็นสบายไม่หนาวเกินไป ทำให้ฤดูนี้ถือว่าเป็น ฤดูยอดฮิตติดชาร์ต ที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนต่างตั้งเป้าไว้จะต้องไปให้ได้ แล้วยิ่งช่วงเวลานี้ประเทศไทยเรากำลังร้อนระอุ การตีตั๋วหนีร้อนไปญี่ปุ่นเลยกลายเป็นอะไรที่ดีมากๆ แต่...ด้วยความที่มันฮิตเนี่ย เค้าเลยจองตั๋วกันข้ามปีเชียวล่ะ !!! แผนที่ : Osaka Castle ซึ่งการไปชมซากุระนั้น ส่วนมากจะไปกันช่วงปลายเดือนมีนาคม - กลางเดือนเมษายน เพราะจากการพยากรณ์การผลิของดอกซากุระในหลายปีที่ผ่านมา ก็จะอยู่ในช่วงนี้แหละครับ โดยซากุระนั้นจะบานจากใต้ขึ้นเหนือ เพราะฉะนั้นจะเริ่มบานที่โอซาก้าก่อน ใครไปเที่ยวแถบคันไซก็แนะนำให้ไปชมดอกซากุระที่ ปราสาทโอซาก้า นะครับ รับรองว่าจะได้ฉากหลังที่สวยเก๋อย่างแน่นอน ส่วนใครที่เที่ยวแถวคันโต หรือแถบโตเกียว ก็ต้องไปที่สวนอุเอโนะเลย รับรองว่าได้ชมซากุระจนจุใจแน่นอน ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม) ถึงแม้ว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้น จะร้อนมากก็ตามที แต่นักท่องเที่ยวก็ไม่หวั่น เพราะยังมีอีกหลายสถานที่สวยๆ และกิจกรรมอีกมากมายให้ทำไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลยล่ะครับ แถมราคาค่าตั๋วยังถูกมากอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ต้องจองข้ามปีก็ได้ตั๋วมาในราคาโปรฯ กันไปเลย โดยกิจกรรมที่นิยมทำกันในฤดูร้อนสุดๆ นั่นก็คือ การไปชมสวนดอกไม้ต่างๆ เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้จะบานสะพรั่ง สวยงามสุดๆ ใครที่เป็น Flower Lover หรือ Blossom girl จะต้องอิน และเลิฟสุดๆ ในการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูนี้ นอกจากนี้ ถ้าพูดถึงฤดูร้อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงทะเลใช่ไหมล่ะ ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกัน มีทะเลสวยๆ น้ำใสๆ ให้เหล่า Beach Lover ได้ไปฟินกันเพียบเลย แผนที่ : Okinawa สำหรับทะเลสวยๆ นั้น เราขอแนะนำที่ เกาะโอกินาว่า เลย บอกเลยว่าสวยมาก น้ำทะเลสีฟ้าเทอคอวยซ์สุดสวย กับท้องฟ้าในวันสดใส ดีต่อใจจริงๆ แถมบินจากกรุงเทพฯ เพียง 4 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง ค่าครองชีพก็ไม่แพงด้วยน๊า ส่วนใครที่เป็นสายทุ่งดอกไม้ ต้องขึ้นเหนือไปที่ฮอกไกโดแล้วล่ะ เพราะทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสวย กับกลิ่นหอมอ่อนๆ รอคุณอยู่ !!! เห็นมั้ยครับบอกแล้วว่าไปญี่ปุ่น ฤดูร้อน ก็มีกิจกรรมให้ทำเพียบไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลยน๊าาาา ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน - เดือนพฤศจิกายน) มาถึงฤดูที่ยืนหนึ่งตลอดกาล ฮิตสุดๆ อะไรก็ฉุดไม่อยู่อย่าง ฤดูใบไม้ร่วง กันแล้วครับ ด้วยความที่อากาศในฤดูใบไม้ร่วงนั้น อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ากำลังเย็นสบาย ไม่ร้อน และไม่หนาวจนปากสั่น ยังใส่โค้ทเก๋ๆ ได้โดยไม่ต้องใส่เสื้อขนเป็ด บวกกับฉากหลังที่มีใบไม้สีส้ม สีแดง ดูสวยงาม ทำให้ฤดูนี้เป็นที่ถูกใจของใครหลายคนสุดๆ และนักท่องเที่ยวก็ต่างตบเท้าเข้ามาไม่ว่างเว้นแต่ละวันเลย กิจกรรมของฤดูนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ในเมื่อมันเป็นฤดูของการชมใบไม้แดง ก็ต้องชมใบไม้แดงให้หนำใจกันไปเลยค่ะ ที่เหลือก็เป็นการตะลุยกิน ชมสถานที่ต่างๆ และตะลุยช้อปแหลก !!! เพราะช่วงนี้ของ Sale เพียบ เพื่อเตรียมเข้าสู่ Winter Season และใกล้สิ้นปี ทำให้เสื้อผ้าเอย ของใช้ต่างๆ เอย ต่างขนขบวนกันมาลดแลกแจกแถมแบบสุดๆ ใครไปเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูนี้ อย่าลืมเตรียมกระเป๋าไปขนของเยอะๆ นะจ๊ะ อ้อ! เกือบลืมบอกจุดชมใบไม้แดงไปเลย ถ้าอยู่โตเกียวบอกเลยว่าอิ่มแน่ๆ เพราะสวยเกือบทุกที่เลยครับ แต่อยากแนะนำให้นั่งรถออกไปที่คาวากูชิโกะก็จะได้ฟินเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะได้เห็นใบไม้แดงแล้ว ยังได้เห็นฟูจิซังใส่หมวกด้วยน๊า ส่วนถ้าใครไปแถบคันไซ ก็อย่าลืมแวะไปทักทายน้องกวางที่นารา และไปวัดคิโยมิสุ หรือวัดน้ำใสที่เกียวโตนะครับ แผนที่ :  Kiyomizu-dera ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์) ปิดท้ายกันที่ความขาวของหิมะญี่ปุ่นกันบ้าง ด้วยความที่เมืองไทยเราไม่มีหิมะตก เพราะฉะนั้นญี่ปุ่น จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางแรกๆ ที่คนจะนึกถึงและตีตั๋วไปสัมผัสอากาศหนาวติดลบและหิมะด้วยตัวเองสักครั้ง เพราะไปง่าย มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ค่าครองชีพก็รับได้ไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนไปยุโรป ทำให้ฤดูนี้ก็ถือว่าเป็นอีกฤดูยอดฮิตเช่นเดียวกันครับ มาเจอหิมะทั้งที กิจกรรมต่างๆ ก็คงหนีไม่พ้นวนเวียนอยู่กับการไป เล่นสกี หรือไปดูหิมะ นั่นแหละ ซึ่งถ้าหากจะเล่นสกี ก็ต้องไปฮอกไกโด เพราะมีสกีรีสอร์ทเจ๋งๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนรออยู่ แต่ถ้าไม่อยากขึ้นเหนือมาก จะอยู่แถบๆ โตเกียวก็ยังมีที่ กาล่า ยูซาว่า อีกที่นะครับ สวยและสนุกไม่แพ้กันเลยล่ะ นอกจากนี้เรายังขอแนะนำให้ไปเยือน ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลก สักครั้ง เพราะเค้าจะสวยที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตกนี่แหละครับ บอกเลยว่าสวยราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเทพนิยายเลยทีเดียว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก ไปเที่ยวญี่ปุ่นฤดูหนาวก็แค่ enjoy festival ไม่ว่าจะเป็นคริสมาสต์ หรือปีใหม่ แค่นี้ก็สุดยอด เป็นทริปที่น่าประทับใจแล้วครับ แผนที่ : Shirakawa-go อ่านจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ตัดสินใจได้แล้วหรือยังครับว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดี ? ให้ทายก็คงแอบมีลิสต์ไว้ในใจแล้วใช่ไหมล่ะ ?? แต่ถ้ายังตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ลองดูโปรแกรมทัวร์กับทัวร์ครับก่อนก็ได้นะครับ เผื่อจะมีที่โดนๆ และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครับ : )    อ่านบทความแนะนำ >>ไปเที่ยวญี่ปุ่นนาโกย่ากันเถอะ ! เก็บ 10 แลนด์มาร์กสุดฟินที่ไม่ควรพลาด <<      

อ่านเพิ่มเติม
เทศกาลสุดพิเศษที่ห้ามพลาดใน ทัวร์ญี่ปุ่น เดือนมีนาคม !!
เทศกาลสุดพิเศษที่ห้ามพลาดใน ทัวร์ญี่ปุ่น เดือนมีนาคม !!

22 ม.ค. 62

มาดูกันครับว่าถ้าหากไปทัวร์ญี่ปุ่น เดือนมีนาคมแล้ว จะได้พบกับเทศกาลอะไรบ้าง ?? เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : เทศกาลโอมิซูโทริ เป็นเทศกาลที่เก่าแก่เทศกาลหนึ่งของญี่ปุ่นเลยครับ เป็นเทศกาลชำระบาปของชาวพุทธ ที่มีมานานมากกว่า 1,250 ปี เทศกาลนี้ถือเป็นพิธีขั้นสุดท้ายในการปฏิบัติพิธีชูนิเอะ โดยจะดำเนินการที่ศาลาบนเนินเขา ชื่อว่า ศาลานิงะสึโดะ ที่วัดโทไดจิ เมืองนาราครับ ไฮไลท์ของงานเทศกาลนี้ก็คือ การแสดงไฟ ซึ่งจะเริ่มเมื่อพระอาทิตย์ตกดินของทุกคืนครับ เป็นการแสดงที่น่าตื่นเต้นและมีชื่อเสียงที่สุดเลยล่ะครับ คบเพลิงยักษ์ขนาด 6-8 เมตร จะถูกยกขึ้นไปบนระเบียงของศาลานิงะสึโดะ และเผาไหม้เป็นประกายไฟ ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่า หากอาบร่างกายด้วยประกายไฟเหล่านี้ จะได้รับการคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายครับ ช่วงเวลาจัดงาน : วันที่ 1 - 14 มีนาคม ของทุกปี เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : เทศกาลฮินะมะสึริ ใครเป็นแฟนคลับตัวยงของประเทศญี่ปุ่น จะต้องคุ้นหูกับเทศกาลนี้ ที่มีอีกชื่อเรียกคือ เทศกาลเด็กผู้หญิง นั่นเอง เป็นเทศกาลของชาวญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ โดยชาวญี่ปุ่นจัดเทศกาลนี้ขึ้นมาเพื่ออธิษฐานให้ลูกสาวมีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตครับ ไฮไลท์สำคัญของเทศกาลนี้เลยก็คือ “ตุ๊กตาฮินะ” ที่เป็นตุ๊กตาทำมือ ประดับด้วยชุดแต่งกายตามราชสำนักญี่ปุ่นโบราณ สมัยยุคเฮอัง วางไว้บนชั้น 7 ชั้น รอบๆ ตุ๊กตาจะมีเครื่องบูชาต่างๆ โดยมีตุ๊กตาที่วางชั้นบนสุด คือ ตุ๊กตาเจ้าชายโอไดริซามะ และเจ้าหญิงโอฮินะซามะครับ ช่วงเวลาจัดงาน : วันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : เทศกาลแสงไฟ คุระชิกิ ถือว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะได้ไปเที่ยวย่านเมืองเก่าของญี่ปุ่นกันบ้างครับ กับเทศกาลแสงไฟที่เมืองคุระชิกิ ที่เป็นเทศกาลที่บ่งบอกว่า ฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงแล้วนั่นเอง โดยในอดีต เมืองคุระชิกิเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากๆ และเป็นศูนย์กลางทางการค้าตั้งแต่สมัยเอโดะ ที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี ปัจจุบันเป็นกลุ่มโบราณสถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเลยครับ ไฮไลท์ของงานเทศกาลแห่งนี้ คือทั้งเมืองจะถูกเรียงรายไปด้วยแสงไฟอันอบอุ่น จากเปลวเทียน โคมไฟกระดาษรูปทรงต่างๆ และร่มกระดาษแบบญี่ปุ่น ทั่วบริเวณตามริมฝั่งแม่น้ำคุระชิกิครับ และนักท่องเที่ยวก็สามารถล่องเรือชมความงามของไฟได้ โรแมนติกและเพลินเพลินสุดๆ เลยล่ะครับ ช่วงเวลาจัดงาน : ต่างกันไปในแต่ละปี แต่จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : การแข่งขันซูโม่ประจำฤดูใบไม้ผลิ ในทุกๆปี จะมีการจัดแข่งขันซูโม่เวียนกันไปในแต่ละจังหวัดครับ โดยจะจัดในช่วงเดือนคี่ และสำหรับเดือนมีนาคมนั้นก็จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ใครที่อยากเห็นการแข่งขันซูโม่ของจริงสักครั้งในชีวิต แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าไปชมดูนะครับ แล้วจะได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มเปี่ยมเลยล่ะ ได้ฟีลความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจยากที่จะลืมแน่นอนครับ ช่วงเวลาจัดงาน : เดือนมีนาคม (หรือเดือนคี่อื่นๆ) เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : เทศกาลวันไวท์เดย์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ ถัดมาอีกหนึ่งเดือนก็จะเป็นวันไวท์เดย์ครับ เดิมทีวันนี้เป็นวันที่บริษัทขนม ตั้งใจทำการตลาดเมื่อปี 1987 แต่กลับได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายมาเป็นเทศกาลวันไวท์เดย์ถึงปัจจุบัน โดยวันวาเลนไทน์ ฝ่ายหญิงจะให้ของขวัญกับฝ่ายชาย และเมื่อถึงวันไวท์เดย์ ฝ่ายชายจะต้องให้ของขวัญกลับ และต้องมีมูลค่ามากกว่าถึง 3 เท่าครับ ไฮไลท์ของเทศกาลนี้ คือการที่ขนมแต่ละชนิดจะมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น มาร์ชเมลโล่ หมายถึง การปฏิเสธ , คุกกี้ หมายถึง อยากเป็นเพื่อน และ ลูกอม หมายถึง ฉันรักคุณ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ขนมเท่านั้นที่ให้เป็นของขวัญได้นะครับ ตุ๊กตา ดอกไม้ หรือของขวัญอื่นๆ ก็นิยมเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นใครไปญี่ปุ่นในช่วงวันไวท์เดย์ ก็ไม่ต้องแปลกใจหากเห็นสาวๆ และหนุ่มๆ ญี่ปุ่นเดินถือของขวัญเต็มไม้เต็มมือ ไม่ต่างจากวันวาเลนไทน์ครับ ช่วงเวลาจัดงาน : วันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : ส่งท้ายหิมะด้วยการเล่นสกี และสโนว์บอร์ด ในช่วงเดือนมีนาคมนั้น ทางภาคเหนือของญี่ปุ่นในบางจังหวัดยังมีหิมะอยู่ และยังสามารถเล่นสกี และสโนว์บอร์ดส่งท้ายได้ครับโดยช่วงนี้หิมะจะเริ่มจับตัวเป็นก้อน มีคุณภาพดี เป็นผง และไม่เปียก อากาศก็ดีมากๆ ด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการเล่นสกีด้วยซ้ำ สำหรับใครที่อยากไปเล่นสกี หรือสโนว์บอร์ดในช่วงนี้ แนะนำให้ไปที่ Gala Yuzawa จะเป็นจุดที่ดีที่สุด สำหรับการทำกิจกรรมนี้ครับ เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม : ชมดอกซากุระ ปิดท้ายกันกับไฮไลท์ของประเทศญี่ปุ่น อย่างการชมดอกซากุระ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าดอกซากุระแล้วจริงๆ จะเริ่มบานตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมเลยครับ โดยดอกซากุระนั้น จะเริ่มบานจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ เพราะฉะนั้นใครมีแผนจะเดินทางไปทัวร์ญี่ปุ่น เดือนมีนาคม ให้เลือกไปหลังจากกลางเดือน และไปเที่ยวยังภาคใต้ ก็จะมีโอกาสได้เจอกับดอกซากุระบานก่อนใครเพื่อนเลยล่ะครับ แถมนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ก็ยังไม่เยอะ ได้ภาพสวยๆ แน่นอน   อ่านต่อ  >>4 เหตุผล ทำไมคนญี่ปุ่นถึงให้ความสำคัญกับการชม ‘ซากุระ’ ที่ญี่ปุ่น<<      

อ่านเพิ่มเติม