All articles abouts เที่ยวยุโรป

ห้ามพลาด! เปิดวาร์ปพิกัดชม ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 จากทั่วโลก
ห้ามพลาด! เปิดวาร์ปพิกัดชม ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 จากทั่วโลก

06 ก.ค. 61

        เผลอแป๊ปเดียว ก็ใกล้จะถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย กับฤดูกาลแห่งภาพความสวยงามประจำปี ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาปลายปีเท่านั้นกับ ใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเวลาที่คนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวกันอย่างคึกคัก ประจวบเหมาะกับวันหยุดต่างๆ รวมถึงสภาพอากาศที่เย็นกำลังดี เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หลายท่านคงกำลังมองหาที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2019 กันอยู่ ทัวร์ครับจึงไม่พลาด รวบรวม พิกัด...เส้นทางยอดฮิตสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2019 นี้ พร้อมแล้วก็ตามทัวร์ครับมาดูกันเลยดีกว่าครับ สำหรับเส้นทางในการชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม 2019 ที่ทัวร์ครับขอแนะนำก็คือ... ยุโรปตะวันออก (East Europe)    Neuschwanstein Castle, Germany         เส้นทางทัวร์ยุโรปตะวันออกก็จะเป็นประเทศ เยอรมัน (Germany) เชค (Czech Republic) ออสเตรีย (Austria) และฮังการี (Hungary) ซึ่งเป็นเส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสียอดฮิต สำหรับสายเที่ยวที่อยากจะไปสัมผัสความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางบรรยากาศและสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปนั่นเองครับ  Cesky Krumlov, Czech Republic         ซึ่งใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละเมืองของยุโรปตะวันออก ก็เริ่มเปลี่ยนสีกันในช่วง เดือน กันยายน - เดือนพฤศจิกายน ภาพบรรยากาศของสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปก็จะเริ่มถูกแต่งแต้มสีสันด้วยสีส้ม แดง น้ำตาล บวกกับอากาศที่เย็นกำลังดี อยู่ที่ประมาณ 10 องศา - 18 องศา ไม่หนาวจนเกินไป กำลังดีสำหรับการดื่มด่ำท่ามกลางบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสุดโรแมนติค และสถาปัตยกรรมแสนคลาสสิตสไตล์ยุโรปสุดอลังการ แค่คิดก็รู้สึกฟินแล้วล่ะครับ         บอกเลยว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2018 นี้ เส้นทางทัวร์ยุโรปตะวันออก จะทำให้คุณได้ดื่มดำกับความสวยงาม โรแมนติคจนฟิน เต็มอิ่มจุใจกันอย่างแน่นอนคร๊าบบ... ญี่ปุ่น (Japan) Korankei, Japan          พูดถึงสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี 2018 ทั้งที หากไม่พูดถึง ญี่ปุ่น ก็คงจะถือว่าพลาดมากๆเลยครับ เพราะญี่ปุ่น นั้นถือเป็น จุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทยในการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากความสวยงามระดับโลกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้การยอมรับแล้ว แต่ละพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นก็ยังมีบรรยากาศและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป บางคนถึงกับตั้งเป้าหมายในการเก็บสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นเลยก็มีครับ เพราะเมื่อเข้าช่วงเดือนตุลาคม - ปลายเดือนพฤศจิกายน ญี่ปุ่นก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นขึ้น แต่ไม่หนาวจนเกินไป ใบไม้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีส้ม แดง น้ำตาล ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ฮอกไกโด (Hokkaido) โตเกียว (Tokyo) โอซาก้า (Osaka) และ นาโกย่า (Nagoya) โดยเฉพาะ หุบเขาโครังเค (Korankei) ซึ่งจะอยู่ในทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี เส้นทางนาโกย่า ซึ่งได้รับเสียงการันตีจากเหล่านักล่าใบไม้เปลี่ยนสีว่า เป็นที่สุดของใบไม้เปลี่ยนของญี่ปุ่น ครับ         เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว สำหรับใบไม้เปลี่ยนสี 2019 นี้ ทัวร์ครับบอกเลยว่าต้องรีบจองทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี ต้องรีบไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ เพราะแพคเกจเต็มเร็วมาก จะได้รู้ว่าดีจริงหรือเปล่า ? ใครไปมาแล้วก็อย่าลืมมาเล่าให้ทัวร์ครับฟังกันได้นะครับ >>>แพคเกจทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี 2018 จากทัวร์ครับ จองเลย!<<< เกาหลี (South Korea)           มาต่อกับอีกหนึ่งประเทศที่ฮอตฮิตไม่แพ้ญี่ปุ่นเช่นกัน กับประเทศเกาหลี ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ทัวร์ครับขอแนะนำ สำหรับเส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019  อย่างใน โซล (Seoul) เมืองหลวงแสนทันสมัย ซึ่งภายในโซลนั้นมีหลายจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีครับ ไม่ว่าจะเป็น โซลทาวน์เวอร์ (N Seoul Tower) ที่เราจะได้เห็นภูเขาทั้งลูกเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง รวมถึง พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung) สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลียอดฮิต ที่ทุกคนต้องเคยไป! เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ภายในพระราชวังเคียงบกกุงก็จะกลายเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดโรแมนติคของเกาหลีเช่นกันค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปสัมผัสความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลีมาก่อน ทัวร์ครับขอแนะนำให้ลองไปสักครั้งค่ะ เพราะว่าดีงามไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย เพราะงั้น ใบไม้เปลี่ยนสี 2019 นี้ลองหาโอกาสไปลองให้ได้สักครั้งนะครับ  ไต้หวัน (Taiwan)         มาถึงประเทศสุดท้าย ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ไต้หวัน นั้นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เหมาะกับการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019 เช่นกันนะครับ เพราะไต้หวันนั้นเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เราจึงจะสามารถพบเห็บใบไม้เปลี่ยนสีได้ตามอุทยานแห่งชาติของไต้หวัน แน่นอนว่าโด่งดังที่สุดก็คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก อุทยานอาลีซาน (Alishan National Scenic Area) ที่จะเต็มไปด้วยสีสันจากสี เข้ม อ่อน สลับกันจากต้นไม้นานาพันธุ์ ภายในอุทยาน ที่กำลังแข่งกันแต่งแต้มสีสันให้กับอุทยานแห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม ยาวไปจนถึงเดือนมกราคม หากใครกำลังมองหาสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี ประจำปี 2019 ที่ไม่เหมือนใคร ทัวร์ครับบอกเลยว่า ต้องไปสัมผัสที่ไต้หวันครับ รับรองติดใจแน่นอน         ว้าวว...สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี 2019 แต่ละที่เด็ดๆทั้งนั้น เรียกได้ว่ากินกันไม่ลงเลยทีเดียว แต่ละที่ต่างก็มีความสวยงามและสเน่ห์ที่เป็นของตัวเอง เอาเป็นว่าใครชื่นชอบสไตล์ไหน ก็ต้องรีบไปโดนกันแล้วละครับ ทัวร์ครับขอแนะนำให้รีบจองตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะ ทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสีนั้นฮอตมาก จองช้า อดไปจะเสียใจแย่ จะหาว่าทัวร์ครับไม่เตือนนะครับผม!  

อ่านเพิ่มเติม
Best in travel 20 city  บุกตะลุย 20 เมืองห้ามพลาด เที่ยวต่างประเทศที่ไหนดี ??
Best in travel 20 city บุกตะลุย 20 เมืองห้ามพลาด เที่ยวต่างประเทศที่ไหนดี ??

08 มี.ค. 60

สวัสดีค่ะ วันนี้ ทัวร์ครับ มานำเสนอ Best in travel 20 city บุกตะลุย 20 เมืองในต่างประเทศห้ามพลาด ว่าแต่ว่าในปีนี้ใครมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างเอ่ย ถ้าใครยังคิดไม่ได้นึกไม่ออก ทัวร์ครับก็มีสถานที่เที่ยวต่างประเทศมาแนะนำให้ได้เก็บเอาไปคิดและวางแผนเที่ยวกัน หรือใครที่ยังเก็บสถานที่เที่ยวต่างประเทศไม่ครบก็ตามเชคลิสกันได้เลยจ้า.. LOS ANGELES : USA ลอสแอนเจลิสหรือที่ใครหลายคนรู้จักในนามของ แอลเอ(LA) พูดไปใครๆก็รู้จักเพราะที่นี่เขาดังมาจากอุตสาหกรรมภาพยนต์(หนังฮอลลีวูด) แถมยังเป็นศูนย์รวมความบันเทิงต่างๆ อย่างสถานที่จัดการประกาสรางวัลออสการ์ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งสุดหรูอย่างโรดิโอไดรฟ์ สนุกสนานไปกับสวนสนุกดิสนีย์แลนด์และยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องห้ามพลาดนั่นก็คือถนนฮอลลีวูดวอร์กออฟเฟม ที่ประดับด้วยแผ่นหินเป็นรูปดาวห้าแฉก ที่ดาราระดับฮอลลีวูดได้มาจารึกชื่อ รอยมือ รอยเท้าไว้ตามท้องถนนแห่งนี้   LONDON : ENGLAND เป็นที่รู้กันดีว่าลอนดอน เมืองหลวงสุดฮิปของประเทศอังกฤษที่มีสถานที่น่าสนใจมากมาย ลอนดอน มีชื่อเสียงในเรื่องของพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งความรู้ชั้นนำของโลก มีผู้คนเข้ามาท่องเที่ยวเยี่ยมชมไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นที่ บริติชมิวเซียม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จุดแลนด์มาร์กอย่างหอนาฬิกาบิ๊กเบน เดินเก็บภาพบรรยากาศบนสะพานทาวเวอร์บริดจ์ และห้ามพลาดกับหัวใจหลักของลอนดอนนั่นคือถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังซึ่งมีระยะทางถึง 1.6 กิโลเมตร   LISBON : PORTUGAL โปรตุเกสประเทศที่ถูกลืมสำหรับใครหลายคนเมื่อนึกถึงทวีปยุโรป เมืองลิสบอนเมืองเล็กๆที่มากล้นด้วยเสน่ห์ ทั้งบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและอารยธรรมอันสวยงาม เที่ยวชมเมืองด้วยรถราง อาคารสิ่งปลูกสร้างถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความเก่าคลาสสิคอายุพันปี แต่ก็มีความสวยงามตามแบบโคโลเนียล ดึงดูดให้นักเดินทางต้องไปเยือนให้ได้ซักครั้งในชีวิตไฮไลท์ของลิสบอนคือการไปชมปราสาทของเซนต์จอร์จ ปราสาทขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง สามารถชมวิวเมืองได้ 360 องศา ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมืองลิสบอนเลยหล่ะ   PISTOIA : ITALY พิสโตเอีย เป็นเมืองชนบทเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของอาคารบ้านเรือนใน ยุคกลาง มีมหาวิหาร Cattedrale di San Zeno ด้านหน้าโบสถ์โดดเด่นด้วยศิลปกรรม สไตล์โรมัน ส่วนภายในโบสถ์ก็ตกแต่งอย่างสวยงาม ไฮไลต์เด่นภายในมหาวิหารนี้คือแท่นบูชาของเซนต์เจมส์   VIENNA : AUSTRIA เวียนนา 1 ในเมืองที่คลาสสิกและโรแมนติกที่สุดในแถบยุโรปตะวันออก เมืองที่ยูเนสโกยกให้เป็นมรดกในด้านความงดงามด้านศิลปะและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชมความสง่างามของพระราชวังเบลเวเดียร์, มหาวิหารเซนต์ สตีเฟน และจุดสำคัญที่เรียกได้ว่าถ้าไปแล้วต้องไปเยือนที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือ พระราชวังเชินบรุนน์ศูนย์กลางการปกครองของจักรวรรดิออสเตรียนั่นเอง   PRAGUE : CZECH REPUBLIC กรุงปราก กลิ่นอายของเมืองเก่าและความโรแมนติก ทั้งความสวยงามในเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างโบราณที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นปราสาทปราก, สะพานชาร์ลส์ และสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย ทำให้กรุงปรากเป็นเมืองที่สามารถทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนหลงไหลในความสวยงามและอบอุ่นของเมืองแห่งนี้   AMSTERDAM : NETHERLANDS เขาว่ากันว่ากรุงอัมสเตอร์ดัมนั้นถือเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป ดินแดนแห่งจักรยานของโลก เป็นเมืองต้นแบบแห่งวัฒนธรรมการปั่นจักรยาน อีกทั้งยังมีสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและประวัติศาสตร์มากมาย ส่วนสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวชอบเดินทางมาเที่ยวที่นี่ก็คือ การล่องเรือชมความสวยงามของเมืองทั้งสองข้างทาง ไฮไลท์ของอัมสเตอร์ดัมคงไม่พ้น Nescio Bridge สะพานข้ามแม่น้ำที่สวยที่สุดในอัมสเตอร์ดัมและเป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยว   BARCELONA : SPAIN บาร์เซโลน่าในที่นี้ไม่ใช่ชื่อทีมฟุตบอลแต่อย่างใด แต่เป็นเมืองหนึ่งในประเทศสเปน ซึ่งหากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวสเปนแล้ว คุณห้ามพลาดที่จะไปเยือนเมืองบาร์เซโลน่า บาร์เซโลน่าเป็นเมืองหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกันมากนัก แต่จริงๆแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม อาหาร และชื่อเสียงด้านกีฬา นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายและสวยงามมากอีกด้วย   TAITUNG : TAIWAN เชื่อว่านักท่องเที่ยวหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักไถตงมากนัก จริงๆแล้วไถตงก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากให้ลองไปเที่ยวดูสักครั้ง “ไถ” มาจาก “ไต้หวัน” ส่วน “ตง” แปลว่า “ตะวันออก” เพราะฉะนั้นไถตงก็คือไต้หวันตะวันออกนั้นเอง ที่ไถตงนั้นจะเน้นที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปเป็นอยากมาก หากมีโอกาสได้ลองมาเที่ยวที่นี่ แนะนำให้ลองนั่งรถไฟชมวิวทะเลแปซิฟิตดูสักครั้ง รับรองภาพความสวยงามของธรรมชาติจะตาตรึงคุณไปอีกนานเลยทีเดียว (การนักรถไฟชมวิวควรมีเวลาสัก 2 วัน เพื่อที่จะได้คุ้มค่ารถไฟ)   SPLIT : CROATIA ขึ้นชื่อว่าอยู่ในโครเอเชียแล้วต้องยกให้ความโรแมนติกเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียว เมืองสปลิทที่อยู่ในโครเอเชียนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่มาก ในปัจจุบันถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชียเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบรรยากาศดี ทิวทัศน์งดงาม มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ใครที่ได้ไปแล้วถ่ายรูปออกมาจะสังเกตได้ว่ารูปทุกรูปนั้นมีความชิคความคูล ความชีวิตดีอยู่ในรูปทุกรูปแน่นอน หากอยากไปพักผ่อนชิลๆล่ะก็ ต้องนึกถึงที่นี่ที่แรกเลย   DUBAI : ARUB EMIRATESNCE สุดยอดเมืองที่กำลังเจริญรุ่งเรือง เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าดูไบเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเศรษฐี ท้องถนนจะเห็นรถซุปเปอร์คาร์ตลอดเส้นทาง จึงทำให้ดูไบมีสถานที่ท่องเที่ยวที่อลังการกว่าที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตึกที่สูงที่สุดในโลก (burj khalifa) ชายหาดที่ถูกถมให้เป็นรูปต้นปาล์ม (palm jumeirah) ตู้ปลาขนาดยักษ์ที่อยู่ในใจกลางห้าง (dubai mall) หรือจะเล่นสกีในเมืองทะเลทรายที่ห้างก็ทำได้ (Mall of the Emirates) หรือใครอยากไปผจญภัยสัมผัสทรายด้วยตนเองก็มีกิจกรรมนั่งรถตะลุยทะเลทรายเพื่อไปแคมป์ไฟกลางทะเลก็มีให้คุณลองเช่นกัน   PARIS : FRANCE ปารีส เมืองในฝันของขาเที่ยวเกือบทุกคน หากพูดถึงยุโรปแล้วล่ะก็ปารีสต้องเป็นหนึ่งในเมืองที่คุณต้องมาลองเที่ยวสักครั้งแน่นอน เนื่องจาก ปารีส เป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น หอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประตูชัยฝรั่งเศส เป็นต้น นอกจากสถานที่เที่ยวแล้ว ยังมีแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมอีกมากมาย ให้ขาช้อปได้ช้อปกันเพลินเลยทีเดียว ถ้าคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวปารีสแล้วล่ะก็ รับรองว่าทั้งรูปถ่ายทั้งของฝากได้กลับมาบ้านอย่างล้นหลามแน่นอน   HOKKAIDO : JAPAN ฮอกไกโด ชื่อนี้ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักเพราะเป็นไฮไลท์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ฮอคไกโดเป็นเกาะเหนือสุดและหนาวสุดของประเทศญี่ปุ่น ด้วยธรรมชาติทัศนียภาพที่งดงามตลอดทั้งปี มีกิจกรรมอีกหลากหลายเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติ อาหารหลากหลายเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เที่ยวเล่นอย่างเพลิดเพลินใจ คนที่เคยไปแล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องกลับไปอีกอย่างแน่นอน   REYKJAVIK : ICELAND   ที่เรคยาวิกแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด เป็นเมืองที่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และ เที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวเมืองได้ การที่มาเดินชมอาคารบ้านเรือนภายในเมืองเรคยาวิกที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไอซ์แลนด์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อาหารการกินก็เป็นที่ถูกปากถูกคอของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ หรือใครต้องการตามล่าแสงเหนือก็สามารถตามล่าได้ที่นี่เช่นกัน เพียงแต่ช่วงเวลา และสถานที่อาจจะต้องวัดดวงกันสักนิด แต่ถ้าหากได้เห็นแสงเหนือแล้วล่ะก็บอกได้เลยว่าคุ้มเกินคุ้ม   JIUZHAIGOU : CHINA อุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว ประเทศจีน ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเทือกเขาหมินซานห่างจากเมืองเฉิงตูไปทางเหนือ ด้วยความสวยงามของธรรมชาติทำให้จิ่วไจ้โกวได้ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดประติมากรรมความงามจากธรรมชาติอย่างแท้จริง ทั้งน้ำตก ลำธาร ทะเลสาบสีฟ้าเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย และที่นี่คือสถานที่ในฝันของนักเดินทางหลายๆคนที่ตั้งเป้าหมายว่าต้องมาจิ่วไจ้โกวให้ได้สักครั้งในชีวิต   SEOUL : SOUTH KOREA อีกหนึ่งประเทศที่คนไทยใครๆก็รู้จัก เกาหลีใต้ประเทศสุดฮิต ดินแดนของอปป้าของสาวไทยทั้งหลาย บางคนไปแล้วไปอีกจนนับครั้งไม่ถ้วนและกรุงโซลก็เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งถนนศิลปะและวัฒนธรรม สถานที่ประวัติศาสตร์ สวนสนุก ร้านอาหารชั้นเลิศ แหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ทั้งแหล่งสินค้าขายส่ง สินค้าแบรนด์เนมและแฟชั่นสไตล์เกาหลีมากมาย และห้ามพลาดที่จะไปคล้องกุญแจคู่รักที่โซลทาวเวอร์นะจ๊ะ   MANDALAY : MYANMAR มิงกะลาบา ใครว่าพม่าไม่น่าเที่ยว มัณฑะเลย์เคยเป็นอดีตเมืองหลวงและเมืองใหญ่อันดับที่สามของพม่า มัณฑะเลย์เมืองศูนย์กลางการค้าและคมนาคมทางตอนเหนือและเป็นเมืองอันดับต้นๆที่มีชื่อเสียงในด้านพระพุทธศาสนา คนไทยและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปไหว้พระและสถาปัตยกรรมอันงดงามของกรุงมัณฑะเลย์ ไฮไลท์สำคัญของการเยือนมัณฑะเลย์ครั้งนี้ คือการเข้าร่วมพิธีล้างพระพักตร์ พระมหามัยยมุนี พระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ทรงเครื่องกษัตริย์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศพม่า   OSAKA : JAPAN โอซาก้า เมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะเป็นเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศแล้ว ยังขึ้นชื่อด้านอาหารในราคาย่อมเยา เพราะไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง คุณก็สามารถหาร้านอาหารรสชาติเป็นเลิศ แต่ราคาสบายกระเป๋าได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Kaiyukan) ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ยูนิเวิร์ลซัล สตูดิโอ (Universal Studio) แห่งญี่ปุ่น และสวนลอยน้ำ (Floating Garden Observatory)   MOSCOW : RUSSIA กรุงมอสโก รัสเซีย เป็น 1 ในประเทศมหาอำนาจของโลกเสมอมา รัสเซียตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปตะวันออกและทวีปเอเชียติดกับมองโกเลีย ค่อนไปทางเหนือของโลก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีภูมิอากาศที่หนาว-หนาวจัด แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ สภาพภูมิประเทศและธรรมชาติป่าเขาที่สวยงามจับใจแบบเมืองในเทพนิยาย ไม่นับรวมสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เมืองและสถานที่ท่องเที่ยวรัสเซียมีอยู่หลากหลาย เมืองหลวงเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์สำคัญมากมาย รวมไปถึงเมืองสมัยใหม่ที่ยังมีกลิ่นอายศิลปะดั้งเดิม   SINGAPORE สิงคโปร์ ประเทศใกล้ๆที่อาจจะเป็นประเทศแรกๆที่ทุกคนนึกถึงเวลาจะไปเที่ยวต่างประเทศ ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเจริญสูงสุดในแถวหน้าของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี รวมสุดยอดแหละท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์สำหรับคนทุกกลุ่ม ทั้งช็อปปิ้ง สวนสนุก กินอาหารอร่อย หรือชมความงามธรรมชาติต่างๆมากมาย ถ้าใครมีโอกาสได้ไปก็อย่าลืมไปถ่ายรูปเชคอินกับจุดแลนด์มาร์กอย่างรูปปั้นเมอร์ไลอ้อนกันนะคะ

อ่านเพิ่มเติม
แสงเหนือ คืออะไร ? ทำไมใครๆ ต้องไปดู
แสงเหนือ คืออะไร ? ทำไมใครๆ ต้องไปดู

05 ต.ค. 61

  แสงเหนือ...คืออะไร? ‘แสงเหนือ’ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘ออโรร่า’ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความสวยงามตระการตาไปทั่วท้องฟ้า มองดูคล้าย ๆ หมู่ดาวและแสงจากท้องฟ้ากำลังเต้นระบำอย่างงดงาม ถูกตั้งโดย กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเจ้าแสงเหนือเนี่ยจริงๆ แล้วมีหลายสีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีเหลือง หรือสีม่วง แต่สีที่ปรากฎบ่อยสุดก็คือ สีเขียว ครับ โดย ‘แสงเหนือ’ นั้นเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลก กับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆ กันออกไป วิธีดูแสงเหนือ แสงเหนือ มองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ชัดจริงมั้ย ? ขอบอกว่ามีส่วนครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับค่า KP ในแต่ละวันด้วย หากวันไหนค่าสูงๆ ก็มีสิทธิที่จะเห็นแสงเหนือด้วยตาเปล่าได้ชัดขึ้น แต่วันไหนค่า KP ต่ำ ก็อาจจะเห็นเป็นแค่ริ้วๆ สีขาว สีเทา บนท้องฟ้านั่นเอง แต่ถึงยังไงก็ตามก็ไม่ใช่แสงธรรมดาๆ น๊า เพราะเจ้าแสงเหนือเนี่ยก็จะเต้นๆ อยู่บนท้องฟ้า เหมือนเวลาที่เราให้ในคลิปต่างๆ เลยครับ และส่วนภาพที่ถ่ายออกมาแล้วเป็นสีเขียวสวยๆ นั้น ช่างภาพใช้เวลาตั้งกล้องเพื่อถ่ายหลายวินาทีเลยล่ะ แล้วจึงจะได้ภาพแบบนั้นออกมา ฤดูที่เหมาะสมในการดูแสงเหนือ จริงๆแล้ว ช่วงที่แสงเหนือจะสวยที่สุดก็คือช่วงหลังจากผ่านวัฏจักรจุดสุริยะ (Sun Spot) มาแล้ว 2 วัน แต่อาจจะต้องรอกันนานนิดนึงนะครับ เพราะวัฏจักรดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุกๆ 11 ปี ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งมีช่วงแสงเหนือพีคๆ ไปเมื่อปี 2013 ปี ค.ศ. 2014 เชื่อว่ารอกันนานขนาดนั้นคงไม่ไหว เลยขอแนะนำให้ไปช่วงฤดูหนาวของขั้วโลกแทน นั่นก็คือช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม และเมษายนครับ และเวลาที่ถือว่าเป็น Peak Time ก็คือช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00-24.00 น. นั่นเอง ประเทศที่ควรไปดูแสงเหนือ หลายคนคงคิดว่า แสงเหนือนั้นจะมีแต่ในประเทศไอซ์แลนด์เท่านั้น แต่บอกเลยว่าคิดผิด เพราะมีอีกหลายประเทศในโลกเลยที่มีแสงเหนือสวยๆ ให้ได้ชม แถมบางประเทศยังราคาถูกกว่าไอซ์แลนด์อีกเป็นเท่าตัว อย่าง รัสเซีย ฟินแลนด์ แคนาดา อเมริกา เดนมาร์ก นอร์เวย์ เป็นต้นครับ ไปกับทัวร์ หรือไปเอง ? ข้อสุดท้ายที่หลายคนกำลังลังเลอยู่ ว่าจะไปเองหรือไปกับทัวร์ดี สำหรับเราแล้วขอแนะนำให้ไปกับทัวร์จะดีกว่าครับ เพราะพวกเขามีความเชี่ยวชาญ ดังนั้นจะรู้ว่าควรไปวันไหน ไปตรงจุดไหน และเวลาไหนที่จะได้เห็นแสงเหนือชัดๆ แถมไกด์หลายคนยังสามารถทำหน้าที่เป็นตากล้องได้ดีอีกด้วยล่ะ นักท่องเที่ยวอย่างเราก็สบายเลย ไม่ต้องเตรียมทริปเอง เตรียมไปแค่ตัวกับใจแค่นั้นเอง อ่านจบแล้วพร้อมที่จะไปดู ‘แสงเหนือ’ กันหรือยังครับ ? บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ต้องไปเห็นสักครั้งในชีวิตจริงๆ นะ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจมากเลยล่ะ ส่วนใครที่สนใจไปทัวร์แสงเหนือ กับทัวร์ครับ คลิกได้ที่นี่เลย  ทัวร์แสงเหนือ รับรองว่าทริปแสงเหนือครั้งนี้มีแต่ความประทับใจ..  

อ่านเพิ่มเติม
ฤดูไหนดีที่สุด ? เที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส
ฤดูไหนดีที่สุด ? เที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส

05 ต.ค. 61

        สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) อิตาลี (Italy) ฝรั่งเศส (France) เป็นกลุ่มประเทศโซนยุโรปที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันเป็นแพ็คคี่ 3 ประเทศคู่หูร่วมกันเสมอ ด้วยความเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกัน แถมยังเดินทางไปได้อย่างสะดวก เพียงแค่มีวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เท่านั้น ก็สามารถเดินทางไปเที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศสได้แบบสบายๆ ว่าแต่จะไปฤดูไหนดี ? เดือนไหนถึงจะโดนใจสุด ? ทัวร์ครับได้รวบรวมข้อมูลสำหรับการเที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศสมาให้ทุกคน พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยครับ… เที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ฤดูไหนดีที่สุด ?        ประเทศสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ถือเป็นประเทศ ยุโรปในโซนตะวันตก ซึ่งสามารถแบ่งฤดูกาลออกได้เป็น 4 ฤดูหลักๆด้วยกัน ได้แก่ ❄️ฤดูหนาว (Winter)❄️ เดือน : ธันวาคม - กุมภาพันธ์ (Switzerland)        ในช่วงฤดูหนาวของสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส อากาศจะหนาวเย็นสุดๆ มีหิมะปกคลุมหนาแน่นในหลายพื้นที่ และด้วยความเย็นยะเยือกสุดๆ ร่างกายคนเมืองร้อนอย่างเราอาจไม่เหมาะสักเท่าไหร่ครับ เพราะเราอาจป่วยหรือไม่สบายได้ โดยจะมี อุณหภูมิประมาณ - 3 องศา ถึง 6 องศา ซึ่งหากเป็นพื้นที่บนภูเขาสูงอาจมีอุณหภูมิ - 10 องศาก็เป็นได้ครับ แต่หากใครชื่นชอบการเล่นสกี และอยากสัมผัสบรรยากาศความสวยงามของการเฉลิมฉลองคริสมาสต์ และวันปีใหม่สไตล์ยุโรป ท่ามกลางบรรยากาศแบบหิมะๆ ก็ควรมาเยือนในฤดูนี้เลยครับ  🌳 ฤดูใบไม้ผลิ (Spring)🌳  เดือน : มีนาคม - พฤษภาคม (Cinque Terre, Italy)        เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็น ช่วงเวลาที่เหมาะสุดในการมาเที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศสเลยครับ ทัวร์ครับขอรับประกัน อากาศเย็นสบายกำลังดี อุณหภูมิประมาณ 7 องศา - 14 องศา นอกจากจะได้ฟินกับอากาศดีดีแล้ว ในฤดูนี้ก็ยังเป็นช่วงที่ ดอกไม้ กำลังผลิดอก บานซะพรั่ง เพิ่มสีสันให้กับบรรยากาศสุดฟิน โดยในช่วงนี้พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วกว่าเดิม ทำให้มีช่วงเวลากลางวันที่ยาวขึ้น เราจึงสามารถเดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ได้มากขึ้นอีกด้วยครับ  🌞ฤดูร้อน (Summer)🌞 เดือน : มิถุนายน - สิงหาคม (Provence, France)        หากใครอยากสัมผัสความอุ่นขึ้นมาสักหน่อย ฤดูร้อนก็เหมาะเลยครับ เพราะเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น เปลี่ยนประมาณ 20 องศา - 28 องศา คล้ายๆบ้านเรา และจะเย็นขึ้นในช่วงตอนเย็น พระอาทิตย์จะออกมาทักทายบ่อยขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส แต่อาจได้เจอกับฝนในบางครั้ง บรรยากาศจะคึกคักสุดๆ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แถมเป็นฤดูที่มีเวลากลางวันยาวนานที่สุด ทำให้เที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศสได้แบบจุใจ เลยครับ 🍁ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn)🍁 เดือน : กันยายน - พฤศจิกายน        อีกหนึ่งฤดูกาลที่ฮิตในหมู่คนไทยไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิเลยค่ะ เพราะเป็น ช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสียุโรป กับภาพความสวยงามของใบไม้สีส้มแดง ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายขึ้น อุณหภูมิประมาณ 7 องศา - 13 องศา เป็นอีกหนึ่ง จุดหมายปลายทางสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีงามไม่แพ้ที่อื่น เลยล่ะครับ ทัวร์ครับขอบอก  👍 ไฮไลท์เด็ดสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) ภูเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn)        ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งหลายคนอาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับลักษณะยอดเขารูปทรงพีระมิเแบบนี้กันบ้าง เนื่องจากถูกใช้เป็นโลโก้ของช็อคโกแลต Toblerone นั่นเองครับ ความสวยงามของแมทเทอร์ฮอร์น เรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวสวิสที่ใครๆก็อยากมาเยือน กับความอลังการของทัศนียภาพสุดตระการตา กับการนั่งรถไฟขึ้นไปชมยอดเขาก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยครับ กรินเดลวาลด์ (Grindelwald)          เมืองตากอากาศยอดฮิตประจำสวิสเซอร์แลนด์ เมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่ด้วยความสูงจากน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร ล้อมด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติสุดตระการตา ซึ่งเราสามารถมองเห็นหิมะบนยอดเขาได้ตลอดทั้งปี เป็นวิวที่เรียกได้ว่าสวยเกินบรรยาย ไม่ว่าใครที่ได้ไปต่างตกหลุมกับมนต์เสน่ห์ของที่นี่กันทุกราย  👍 ไฮไลท์เด็ดอิตาลี (Italy) กรุงโรม (Rome)   (Trevi Fountain, Italy)        มาอิตาลีก็ต้องไม่พลาดกรุงโรม เมืองสุดยิ่งใหญ่ของอิตาลี เต็มไปด้วย สถาปัตยกรรม ประติมากรรม ร่องรอยของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 2,800 ปี  แหล่งอารยธรรมยุโรปโบราณสุดคลาสสิค แน่นอนว่าต้องไม่พลาดแลนด์มาร์คเด็ดของกรุงโลมอย่าง โคลอสเซียม (Colosseum) สนามกี่ฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หรือจะเป็น มหาวิหารแพนธีออน  (Pantheon) มหาวิหารขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างมานานกว่า 2,000 ปี ด้วยการออกแบบที่สุดแสนจะพิเศษ เพราะภายมหาวิหารไม่มีเสากลางในการรับน้ำหนัก ซึ่งสำหรับ 2,000 ปีที่แล้วถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆเลยทีเดียว ปิดท้ายด้วย น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) น้ำพุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโรม ด้วยการออกแบบสุดโดดเด่นสไตล์บารอค ทำให้น้ำพุเทรวี่กลายเป็น แลนด์มาร์คสุดฮิตประจำกรุงโรม เลยละครับ  หมู่บ้านชาวประมงชิงเคว เตเร่ (Cinque Terre)          หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตอนเหนือของอิตาลี ภายในบริเวณประกอบด้วยหมู่บ้านเล็กๆจำนวน 5 หมู่บ้านด้วยกัน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะอยู่ติดๆกันเราจึงสามารถเดินชมได้ครบทุกหมู่บ้านกันเลยทีเดียวครับ โดยแต่ละหมู่บ้านก็จะสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างสไตล์ชาวประมงแบบยุโรป ทั้งบ้านเรือน โบสถ์ และปราสาทเก่าแก่ ซึ่งความโดดเด่นของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้อยู่ที่ อาคารบ้านเรือนสีสดใส ตั้งอยู่ริมทะเล ตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเล และสีเขียวจากธรรมชาติ จึงกลายเป็น เอกลักษณ์ประจำ ของที่นี่เลยครับ  👍 ไฮไลท์เด็ดฝรั่งเศส (France) ทุ่งลาเวนเดอร์ เมืองโพรวองซ์ (Provence)          เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม ก็ได้เวลาการเบ่งบานของดอกไม้สีม่วงอย่าง ลาเวนเดอร์ ในเมืองโพรวอซ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ภาพความสวยงามของทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา กับอากาศเย็นสบายๆ ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางชมความสวยงามของทุ่งลาเวนเดอร์กันอย่างคึกคักทุกๆปี ซึ่งนอกจากจะได้ชมความสวยงามของทุ่งลาเวนเดอร์แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ของฝากซึ่งแปรรูปมาจากลาเวนเซอร์ให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอีกด้วยครับ  เยือนดินแดนสวรรค์ของคนรักไวน์ บอร์กโดซ์ (Bordeaux)          ปิดท้ายเอาใจคนรักไวน์กันสักหน่อย กับแคว้นผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส บอร์กโดซ์ เมืองแห่งไวน์และไร่องุ่น แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ไร่องุ่นนะครับ เพราะบอร์กโดซ์นั้นยังเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปที่โดดเด่นไม่แพ้กัน บอร์กโดซ์จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จาก UNESCO มาถึงแหล่งผลิตไวน์ที่ดีที่สุดในโลกทั้งทีจึงไม่ควรพลาดลองลิ้ม ชิมรสชาติไวน์ฝรั่งเศสกันสักหน่อย ทัวร์ครับบอกเลยว่าเด็ดสุดๆครับ         ทัวร์ครับหวังว่าหลายท่านคงจะได้คำตอบกันแล้วนะครับ สำหรับช่วงเวลาที่ดีสำหรับการไปเที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ซึ่งจริงๆแล้วสามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยครับ เพราะแต่ละช่วงเวลาก็จะมีความสวยงามที่มีสเน่ห์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ต้องวางแผนจองทัวร์สวิส อิตาลี ฝรั่งเศสกันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าช้าอาจไม่ทันการ อดไปชมความสวยงาม เสียดายแย่เลย... หากใครอยากได้ข้อมูลเที่ยสวิสแบบเจาะลึกขึ้น ตามไปอ่านบทความจากทัวร์ครับด้านล่างแล้วรับรองว่าจะอยากไปเที่ยวสวิสแน่นอน... >>>สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ! ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องไปสัมผัส..<<<  

อ่านเพิ่มเติม
6 สิ่งห้ามพลาด ! เมื่อมีโอกาสไปเยือน “ฝรั่งเศส”
6 สิ่งห้ามพลาด ! เมื่อมีโอกาสไปเยือน “ฝรั่งเศส”

11 ต.ค. 61

  1. ห้ามพลาด ไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล แลนด์มาร์คของประเทศฝรั่งเศส หากใครไม่มาเช็คอินที่หอไอเฟล พร้อมโพสต์ท่าเก๋ๆ ชิคๆ ถือว่าผิดมหันต์เลยนะครับ บอกเลยว่าถ้าไม่ได้ภาพมุมนี้ ไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าเรามาเยือนฝรั่งเศสแล้ว เพราะฉะนั้นเตรียมชุดเก๋ๆ จากเมืองไทย แล้วไปใส่ถ่ายรูปกับหอไอเฟลกันเถอะ 2. ห้ามพลาด ไปดิสนีย์แลนด์ พิกัด : Disneyland Paris หนึ่งในความฝันของสาวๆ หลายคน คือการไปเยือนดิสนีย์แลนด์ให้ครบทั่วโลก เพราะฉะนั้นมาถึงฝรั่งเศสทั้งที ก็ต้องไปย้อนวัยเด็ก เติมเต็มความฝันที่ ดิสนีย์แลนด์ มันเป็นอะไรที่ฟินมากๆ มีความสุขสุดๆ เมื่อเราได้ย้อนวัยเด็ก แล้วเพลิดเพลินไปกับเหล่าตัวการ์ตูนในดวงใจ แค่คิดก็แฮปปี้แล้ววว 3. ห้ามพลาด มาการองชื่อดัง ถึงแม้ว่าตอนนี้ร้านมาการองชื่อดังอย่าง Laduree จะมีที่เมืองไทยแล้ว แต่บอกเลยว่าไม่ได้ฟีลเท่ามากินที่ฝรั่งเศสแน่นอน แพลนทริปฝรั่งเศสให้มีวันฟรีเดย์สักวันหนึ่ง ออกจากโรงแรมสายๆ มานั่งจิบ Afternoon Tea เคล้ากับมาการองรสโปรด เพลินอย่าบอกใครเชียว 4. ห้ามพลาด ไปหาโมนาลิซา รูปภาพอันโด่งดัง ก็อยู่ที่ฝรั่งเศสนะจ๊ะ มาเยือนบ้านเค้าทั้งทีอย่าลืมแวะไปทักทายกันด้วยล่ะ ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ( Louvre Museum ) นอกจากภาพของโมนาลิซาแล้ว ก็ยังมีภาพศิลปะจากศิลปินชื่อดังมากมายด้วย เห็นภาพในเน็ตกี่ร้อยครั้ง ก็ไม่เท่าได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเองหรอกครับ 5. ห้ามพลาด ไปประตูชัย อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของฝรั่งเศส ตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่และสวยงาม และอย่าลืมที่จะขึ้นไปด้านบนเพื่อชมพิพิธภัณฑ์และเรียนรู้ประวัติอันยาวนาน ที่สำคัญมองจากประตูชัยลงมาด้านล่าง จะเห็นถนนทั้ง 12 สายมุ่งหน้ามาที่ประตูชัยด้วยล่ะครับ 6. ห้ามพลาด ไปช้อปปิ้ง แน่นอนว่ามาถึงเมืองแห่งแฟชั่นทั้งที หากพลาดการช้อปปิ้งไปคงเสียดายแน่ๆ เพราะฉะนั้น เตรียมเงินให้พร้อม เตรียมบัตรเครดิตให้ดี แล้วไปครับ !! จะเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องสำอางน้ำหอมต่างๆ จัดไปอย่าให้เสีย จัดหนักเอาให้เต็มกระเป๋าไปเลยยย และนี่ก็เป็น 6 สิ่งห้ามพลาดเมื่อไปเยือนประเทศฝรั่งเศส ขาดไปข้อนึงนี่ถือว่าไม่ครบสูตรเลยนะครับ เพราะฉะนั้นหากมีโอกาสไปทั้งที แพลนดีๆ แพลนเป๊ะๆ จะได้เที่ยวแบบลื่นไหลไม่มีเซ็ง และหากใครที่ยังไม่มีแพลนไปเที่ยวฝรั่งเศส ก็ลองมาดูทัวร์ฝรั่งเศสกันก่อนได้ที่ ทัวร์ครับ.คอม ได้เลย รับรองว่าเที่ยวสนุกไม่แพ้เที่ยวเองเลยล่ะครับ แถมเดินทางสะดวก พักสบาย อีกด้วย 

อ่านเพิ่มเติม
10 อุบายที่สายเที่ยวควรระวัง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อในต่างแดน
10 อุบายที่สายเที่ยวควรระวัง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อในต่างแดน

29 ต.ค. 61

วันนี้ทัวร์ครับ เลยนำ 10 อุบายที่มิจฉาชีพมักใช้หลอกนักท่องเที่ยวมาเล่าให้ฟังกันครับ ใครมีแพลนกำลังจะออกเดินทางไปยังที่ไหนก็ตาม ลองอ่านกันดูนะครับ จะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆจะได้ไม่โดนหลอก.. 1. หลอกถามทาง วิธีนี้เป็นวิธีที่ฮิตมากๆ ในแถบยุโรป เพราะมิจฉาชีพเหล่านี้จะมีคนนึงในกลุ่ม แต่งตัวเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกับเรา ถือแผนที่ขนาดใหญ่ และเดินตรงเข้ามาขอความช่วยเหลือให้เราช่วยดูแผนที่ให้หน่อย ในขณะเดียวกันมิจฉาชีพคนอื่นๆ ก็จะอาศัยจังหวะที่เราไม่ทันระวังตัว มาแอบล้วงกระเป๋าหรือหยิบฉวยของเราไปนั่นเอง วิธีหลีกเลี่ยงพวกนี้ก็คือ อย่าไปคุย ให้เดินหนีเลยครับ พึงระลึกไว้เสมอว่า คนที่หลงทางจริงๆ จะมาถามนักท่องเที่ยวด้วยกันทำไม หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ระมัดระวังกระเป๋าให้ดีๆห้ามประมาทเลยล่ะ 2. ขอทาน คนไทยเราเป็นเหยื่อให้กับมิจฉาชีพที่ใช้วิธีนี้ได้ง่ายมากๆ เพราะด้วยพื้นฐานเราเป็นคนขี้สงสาร และมีน้ำใจ โดยวิธีที่คนร้ายจะใช้ก็คือ ปลอมตัวเป็นขอทาน (หรือขอทานจริง) เดินเข้ามาขอเงินกันโต้งๆ เลยครับ อาจจะมาในรูปแบบของเด็กเล็ก หรือคนแก่ที่น่าสงสารมากๆ และพอเราควักกระเป๋าสตางค์ออกมาก็ฉกกระเป๋าเราแล้ววิ่งหนีไปดื้อๆ เลย ซึ่งวิธีนี้พบได้ทั่วโลก!! นอกจากนี้อาจจะมีกรณีที่ ให้เงินกับขอทาน 1 คน แล้วโดนขอทานมารุมอีกเป็นสิบ !! ไม่ให้ก็ไปจากตรงนั้นไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นมิจฉาชีพรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะ ใครไปเที่ยวก็อย่าลืมเลี่ยงคนเหล่านี้ไว้ด้วยนะครับไม่งั้นจะเป็นเราเองที่ไม่มีเงิน 555555555+  3.ให้เครื่องประดับ กำไลข้อมือ หรือของจุกจิก ทั้งสองอย่างนี้คือตัวอันตรายเลยครับ พวกมิจฉาชีพจะตรงดิ่งเข้ามาหาคุณ และ พยายามยัดเยียดของที่จะใส่ให้ข้อมือ ของคุณให้จงได้ ถ้าเจอต้องรีบหนีอย่างด่วนๆ เพราะหากเผลอรับมาแล้ว อาจจะต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลสำหรับสายสิญจน์เส้นเล็กๆ หรือบางครั้งอาจจะเป็นการดึงความสนใจของคุณ เพื่อล้วงกระเป๋าก็ได้ครับ ซึ่งวิธีนี้มักจะเจอที่แถบยุโรป ตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์กครับ  4. การแสดงริมถนน จำไว้ให้มั่นเลย ว่าหากมีการแสดงริมถนนที่มีการล้อมวง คนเยอะๆ อย่าไปสนใจ อย่าไปอยากรู้อยากเห็นเด็ดขาด เพราะเป็นแหล่งทำงานชั้นดีของเหล่ามิจฉาชีพเลยล่ะ พวกนี้จะอาศัยจังหวะที่เราสนใจการแสดง ล้วงกระเป๋าหรือขโมยของเรา วิธีนี้พบเจอได้ทั้งประเทศในเอเชียเรา และทางแถบยุโรปเลยครับ ถ้าไปยืนดูการแสดง ทัวร์ครับ ก็แนะนำให้ปิดกระเป๋าให้มิดชิดและเอากระเป๋ามาไว้ด้านหน้าลำตัวหรือดูแลจับตามองกระเป๋าเราให้ดี จะได้ไม่เปิดช่องให้มิจฉาชีพได้มาขโมยกันได้ง่ายๆ  5. ถ่ายรูปให้หน่อย อย่าแปลกใจถ้าหากคุณไปท่องเที่ยวกับแฟนเพียงสองคนแล้วอยากมีรูปคู่ แต่ไปขอให้ใครช่วยถ่ายก็ไม่มีใครถ่ายให้ เพราะการขอให้ช่วยถ่ายรูป ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มิจฉาชีพชอบใช้เช่นกันครับ โดยพวกเค้าจะทำทีมาขอให้เราถ่ายรูปให้ ด้วยกล้องที่ใช้งานไม่ได้ และพอเราส่งคืนเค้าก็จะแกล้งทำตก และแน่นอนว่าเราต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เค้าด้วยราคาที่แพงมากเลยล่ะ 6. ถ่ายรูปให้ไหม นอกจาก ถ่ายรูปให้หน่อย แล้ว วิธีถ่ายรูปให้ไหม ก็ยังเป็นวิธียอดฮิตของเหล่ามิจฉาชีพเช่นเดียวกัน ซึ่งมักจะเข้าหานักท่องเที่ยวที่มาคนเดียว หรือมาเป็นคู่รักครับ โดยถ้าเราหลงกล เค้าก็อาจจะเก็บค่าถ่ายรูปกับเราในราคาแพงแสนแพง บางทีหนักหน่อย ก็อาจจะโดนวิ่งราวกล้องไปต่อหน้าต่อตาเลยครับ 7. ตำรวจปลอม วิธีนี้น่ากลัวมากๆ และเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยครับ เพราะมิจฉาชีพเหล่านี้จะทำทีว่าตัวเองเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ มาขอดูพาสปอร์ตของเรา หรือวีซ่าของเรา แล้วบอกว่าวีซ่าเรามีปัญหา หรือแกล้งบอกว่าเราทำอะไรผิดต่างๆ นานา ก่อนจะแกล้งทำทีเสนอให้เราจ่ายค่าปรับตรงนี้แทนที่จะไปสถานีตำรวจ ถ้าเราไม่ยอมให้ก็อาจจะข่มขู่ มากไปถึงการทำร้ายร่างกายเลยล่ะ วิธีแก้ง่ายๆคือให้เราค้นหาเบอร์ตำรวจของประเทศนั้นๆ ไว้ พอเจอพวกนี้เข้ามาปั๊บ ก็โทรหาตำรวจตัวจริงก่อนเลย 8. ตั๋วปลอม ในระหว่างที่เราต่อแถวรอซื้อตั๋วเพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ หรือทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ก็อาจจะมีมิจฉาชีพเข้ามาทำทีอ้างว่ามีตั๋วมาขายในราคาที่ถูกกว่า บอกเลยว่าอย่าไปหลงกลเด็ดขาดนะครับ ถึงราคาจะถูกกว่าครึ่งหนึ่งก็ตาม เพราะตั๋วที่ได้มามักจะเป็นตั๋วปลอม ใช้งานไม่ได้ นอกจากเสียเงินแล้วยังเสียเวลาอีก เซ็งแย่ 9. แท็กซี่เถื่อน รู้ๆ กันอยู่แล้วล่ะเนอะข้อนี้ เพราะในบ้านเราก็มี (เฮ้อ...พูดแล้วเซ็ง) และแน่นอนว่าทั่วโลกก็มีเช่นกันครับ แท็กซี่พวกนี้จะไม่ยอมกดมิเตอร์ และชาร์จราคาแพงกว่าปกติ วิธีหลีกเลี่ยงง่ายๆ ก็คือใช้บริการรถไฟฟ้าให้คล่อง หรือเรียกรถจากแอพต่างๆ ที่มีให้บริการดีกว่า 10.  คนน้ำใจงาม เหมือนจะดูเป็นคนดี แต่พวกนี้บอกเลยว่าร้ายสุดๆ เพราะในขณะที่เรากำลังยกกระเป๋าขึ้นรถไฟ หรือแบกกระเป๋าเดินทางใบโตไปไหนมาไหนดูท่าทีลำบ๊ากลำบาก มิจฉาชีพพวกนี้ก็จะทำทีแสดงน้ำใจ มาช่วยเรายกของ ขนของ และพอเสร็จก็จะขอเงินจากเรานั่นเอง ถ้าหากไม่จ่ายก็อาจจะโดนข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกายนั่นเองครับ เห็นมั้ยล่ะครับ? ว่าการเที่ยวแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีแต่ความสุข แต่ก็ไม่ใช่ว่าที่มาเล่าจะทำให้กลัวจนไม่อยากเที่ยวนะครับ ต้องอย่าลืมรู้จักป้องกันตัวเอง ดูแลตัวเอง และระมัดระวังตัวเองอย่างดี เพียงเท่านี้ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพ และแน่นอนว่ามาเที่ยวกับทัวร์ครับ ปลอดภัยหายห่วง..    ใครกำลังจะไปเที่ยว อ่านต่อนี่เลย !! >> จัดกันมันส์ทุกทริป ! 10 ทริคเที่ยวต่างประเทศแบบประหยัด  

อ่านเพิ่มเติม
#ขอพื้นที่ติ่ง! ตามรอยประธานยูจินอู & จองฮีจู แห่งซีรีย์ Memories of the Alhambra
#ขอพื้นที่ติ่ง! ตามรอยประธานยูจินอู & จองฮีจู แห่งซีรีย์ Memories of the Alhambra

23 ม.ค. 62

เนื้อหาของเรื่องแบบย่อๆ เลยก็คือ ยูจินอู พระเอกของเราได้เดินทางมายังประเทศสเปน เพื่อที่จะตามหาตัว จองเซจู โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะที่เป็นนักพัฒนาเกม AR ที่ใช้ในการต่อสู้ในยุคกลาง โดยคิดว่าเกมที่เซจูพัฒนาสามารถนำมาต่อยอดใช้คู่กับเทคโนโลคอนแทคเลนส์ของตนเองได้ แต่แล้วเซจูกลับหายตัวไปอย่างปริศนา ก่อนหน้าที่เซจูนัดหมายให้ จินอูมาพบที่โฮสเทลแห่งหนึ่งในเมืองกรานาดา ประเทศสเปน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับ จองฮีจู นางเอกของเรื่องที่เป็นพี่สาวของเซจูผู้เป็นเจ้าของโฮสเทลแห่งนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้นอกจากโลเคชั่นในเกาหลีแล้ว ยังบินไปถ่ายทำก้นถึงที่ ประเทศสเปน และ ประเทศสโลวาเกีย กันเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นแต่ละฉากในเรื่องจึงมีบรรยากาศที่สวยงามของยุโรปให้เราได้เพลิดเพลินไปพร้อมกับลุ้นระทึกกับเหตุการณ์ในเรื่อง วันนี้แอดมิน (ซึ่งเป็นติ่งซีรีย์เรื่องนี้ อิอิ) เลยขอพาทุกคนบินไปยุโรปด้วยกัน แล้วไปตามรอย ยูจินอู & จองฮีจู ด้วยกันนะครับ ไปกันเล๊ย ~ 1.พระราชวังอัลฮัมบรา (เมืองกรานาดา ประเทศสเปน) แผนที่ :  Alhambra Palace จุดเริ่มต้นของเรื่องราวและชื่อเรื่องนี้คือที่นี่ครับ พระราชวังเก่าแก่ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว มีความสวยงาม เก่าแก่ และคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ตระการตา คำว่า “อาลัมบรา” มาจากภาษาอาหรับที่แปลว่า สิ่งที่มีสีแดง ซึ่งป้อมปราการของที่นี่ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ทำให้มีสีงดงามเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ยิ่งสวยราวกับภาพวาดเลยครับ 2.ตึกใน Barri Vell (เมืองชีโรนา ประเทศสเปน) แผนที่ : Barri Vell (old quarter) of Girona โบนิต้าโฮสเทลของ จองฮีจู สถานที่แรกที่พระเอกและนางเอกพบกัน ในซีรีย์ถูกเซ็ทให้เป็นโฮสเทลในกรานาดา แต่จริงๆ แล้วตึกนี้อยู่ที่ เมืองชีโรนา ครับ เป็นตึกที่ถูกเซ็ทออกมาให้ดูเก่าๆ ซ่อมซ่อ บ่งบอกฐานะของนางเอกได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าพระเอกประธานบริษัทของเราไม่ปลื้มสภาพของโฮสเทลแห่งนี้สุดๆ เลยล่ะครับ 3.ร้าน La Terra (เมืองชีโรนา ประเทศสเปน) อยู่ใกล้ๆ กันกับตึกที่ใช้เป็นโบนิต้าโฮสเทลเลยครับ เป็นหนึ่งในร้านเด็ดของย่านนั้น ที่มีบรรยากาศที่ดึงดูด รสชาติอาหารที่อร่อย และเครื่องดื่มที่พร้อมพาทุกคนไปฟิน ถูกใช้เป็นฉากที่พระเอกมาหา “ดาบอันแรก” เพื่อไปต่อสู้กับผู้ร้ายในเกมครับ 4.เมืองลูบลิยานา ประเทศสโลวีเนีย แผนที่ : ljubljana ,slovenia ในซีรีย์ถูกเซ็ทให้เป็นหนึ่งสถานที่ในกรานาดา จุดเริ่มต้นของเกมนี้เกิดที่นี่แหละครับ เรียกได้ว่าเป็นด่านแรกของเกมเลย ซึ่งจุดที่กองซีรีย์เรื่องนี้ยกขบวนกันไปถ่ายทำก็คือตรง น้ำพุเฮอคิวลิส ที่พระเอกของเราต้องออกแรงสู้สุดชีวิตกับศัตรูที่โผล่มา โอ๊ยย ลุ้นหัวใจจะวาย! 5.Gavà Railway Station (เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน) แผนที่ : Gavà Railway Station สถานีรถไฟกรานาดาในซีรีย์ แต่ไม่ได้ถ่ายที่สถานีรถไฟกรานาดานะจ๊ะ! งงมั้ย ฮ่าๆๆ แต่คือสถานีรถไฟกาวา ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เช่นกันครับ เป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ มีความคลาสสิคสุดๆ เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นฉากสุดดราม่าแห่งซีรีย์เรื่องนี้ แต่จะดราม่ายังไง ต้องไปชมกันเอาเองนะคะ และนี่ก็เป็น 5 จุดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพอจะตามรอยซีรีย์เรื่องนี้ได้ครับ อาจจะไม่ได้เยอะมาก เพราะจริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ่ายทำที่ยุโรปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น โดยฉากก็จะซ้ำๆ เพราะไปที่เดิมๆ ที่เกิดดหตุการณ์ต่างๆ แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากลองไปตามรอยมากกว่านี้ ขอแนะนำให้ไป 4 ที่ คือ กรานาดา, บาร์เซโลนา, ชีโรนา และเมือง ลูบลิยานา นะครับ รับรองว่าเดินเพลินๆ อาจจะเจอฉากหนึ่งฉากใดที่มาโผล่ในเรื่องนี้ก็ได้ ~ ใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศอันน่าค้นหาก็สามารถสอบถาม ทัวร์ครับได้เลย เพราะเรามีบริการ จัดกรุ๊ปทัวร์ส่วนตัว ให้เลือกได้ตามใจเลยครับ ว่าอยากไปที่ไหน เที่ยวสบายได้ทั่วโลกกกกก    อ่านต่อ..บทความแนะนำ >>Hello Oppa! รวม 10 ซีรีส์เกาหลีสุดฟิน ดูแล้วอินสุดๆ!!<<  

อ่านเพิ่มเติม
2 ปีมี 1 ครั้ง !! “เทศกาลพรมดอกไม้” บนจัตุรัสสวยสุดในโลกกลางบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม
2 ปีมี 1 ครั้ง !! “เทศกาลพรมดอกไม้” บนจัตุรัสสวยสุดในโลกกลางบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม

24 ม.ค. 62

เพราะที่ประเทศเบลเยียมเองเค้าก็มีเทศกาลดอกไม้เหมือนที่อื่นๆ เช่นกัน แต่ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ ของเค้าเป็น เทศกาลพรมดอกไม้ ที่จัดขึ้นกลางเมือง เปลี่ยนพื้นคอนกรีตธรรมดาให้กลายเป็นพรมผืนใหญ่ เหมือนทั่วทั้งเมืองถูกปลูกสร้างไว้บนสวนดอกไม้ขนาดยักษ์เลย เทศกาลพรมดอกไม้ คืออะไร?? สำหรับเทศกาลพรมดอกไม้นี้ต้องบอกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังมากในแถบยุโรป มีชื่อเรียกว่า Brussels Flower Carpet เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดแห่งกรุงบัสเซลล์ ของประเทศเบลเยียม ซึ่งมีผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอคอยเทศกาลนี้กันเยอะมากจริงๆครับ เพราะเราจะได้เห็นดอกไม้หลากหลายชนิดมากกว่า 5 แสนต้น ถูกปลูกประดับตกแต่งอย่างสวยงามเต็มพื้นที่ที่มีขนาดกว้างถึง 1,800 เมตร คือใหญ่มากๆ และแน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกทำขึ้นด้วยคนคนเดียว แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างประณีตกว่า 100 คน จนกลายมาเป็นสวนดอกไม้สุดมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างแบบชนิดที่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องตกหลุมรักกันทุกคนแน่นอน จุดเริ่มต้นของเทศกาลพรมดอกไม้ แต่กว่าจะมาเป็นเทศกาลสุดยิ่งใหญ่แบบนี้ได้เนี่ย ไม่ใช่ว่ามาถึงก็จับมือร่วมแรงร่วมใจกันทำขึ้นมาเลยบนพื้นที่ขนาดนี้นะครับ เพราะมันเกิดจากประเพณีเล็กๆ ของชาวเบลเยียมเนี่ยแหละ ซึ่งมันมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1971 แล้วล่ะครับเป็นการเฉลิมฉลองที่เบลเยียมได้เป็นประธานของสหภาพยุโรป ทำให้เค้าต้องมีอะไรมาต้อนรับหน่อย เลยได้ทำการปูพรมด้วยดอกไม้หลากสีสันสะดุดตาน่าสนใจจนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีนับตั้งแต่ยุคนั้นมา มีเสียงชม เสียงเรียกร้องจากหลายๆ ฝ่ายบอกว่า การปูพรมดอกไม้ที่ทำในตอนนั้นมันเจ๋งมากเลย อยากให้มีอีกแบบนี้ทุกๆ ปี และสุดท้ายก็ได้รับการสืบทอดเจตนารมณ์กันมาเรื่อยๆ จนทำให้การปูพรมดอกไม้ของประเทศเบลเยียมนั้นกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ 2 ปี และมีผู้เข้าชมอย่างล้นหลามทุกครั้งที่มีการจัดแสดง 2 ปีครั้ง แถมจัดแค่ 4 วันเท่านั้น! ของดีแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นะครับ เพราะเทศกาลดอกไม้ของเบลเยียมเองเนี่ยเค้าจัดไม่เหมือนใคร คนอื่นอาจจะจัดขึ้นทุกปีตามฤดูกาล แต่สำหรับที่นี่เค้าจะจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี ! แถมการจัดงานครั้งหนึ่งก็จะมีขึ้นแค่เพียง 4 วันเท่านั้นด้วย ต้องวางแผนกันมาเป็นอย่างดีเลยนะครับไม่อย่างนั้นอาจชวดเอาได้ง่ายๆ ใครที่อยากจะดูดอกไม้สวยๆ สะดุดตาของเบลเยียมในเทศกาลนี้จริงๆ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม จองโรงแรม จองอะไรกันล่วงหน้าหลายๆ เดือนเลย เพื่อจะได้ไม่พลาดงานสำคัญสุดยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ขอแอบกระซิบด้วยนะครับว่าเค้าจะมีขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม ก็ลองสืบดูแล้วกันเนอะว่างานครั้งต่อไปจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ ความอลังการของสีสัน การจัดวาง และความสะดุดตา คือสิ่งที่พิเศษสุดในงานนี้ สำหรับคนรักดอกไม้แค่ได้มาเห็นความสวยงามของมันก็คงหลงใหลจนฟินกันไปเลยล่ะครับ แต่สำหรับคนทั่วไปเนี่ยก็ไม่ต้องกลัวว่ามาแล้วจะผิดหวังนะ เพราะไม่มีทางแน่นอน โดยความพิเศษของงานนี้ก็คือ เราจะได้มองเห็นความงดงามของดอกไม้ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละมุม มองจากข้างล่างก็ได้ฟีลหนึ่ง มองจากด้านบนมุมสูงก็ได้อีกฟีลหนึ่ง หรือจะมองจากด้านหน้าไปตรงๆ ก็จะมีแบ็กกราวนด์เป็นปราสาทอันสวยงามทอดยาวอยู่ด้านหลัง สวยมากทีเดียวครับ ซึ่งหลายๆ ครั้งศิลปินมักจะใช้การประดับประดาตกแต่งดอกไม้เหล่านี้ด้วยรูปทรงของเรขาคณิต ทำให้เกิดเป็นเหลี่ยม มุม และการตัดกันของสีสันที่สะดุดตา สวยงาม โดดเด่น และลงตัว เป็นหนึ่งในเทศกาลดอกไม้ที่เรียกได้เต็มปากเลยนะว่าสวยงามที่สุดในโลก เพื่อนๆ คนไหนที่ชื่นชอบการชมดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ ที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลย ส่วนใครที่ไม่ได้ชอบดอกไม้ขนาดนั้น ขอให้ลองเปิดใจดูนะครับ ถ้าได้มาเห็นสถานที่จริงล่ะก็ รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักมันแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจอยากจะเยี่ยมชมเทศกาลดอกไม้ล่ะก็ แถบยุโรปเนี่ยแหละครับ ตอบโจทย์มากที่สุดแล้ว เพราะเป็นโซนที่มีดอกไม้สวยๆ เยอะมาก รวมถึงมีเทศกาลดอกไม้ถูกจัดขึ้นในแต่ละประเทศแบบไม่ซ้ำกัน ให้ความรู้สึกและบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง ดังนั้นถ้าไม่อยากพลาดการชมเทศกาลดอกไม้ที่สวยที่สุด ก็มา จอง"ทัวร์ยุโรป" ไปกับ ทัวร์ครับ ได้เลย เราจะพาคุณไปแตะขอบฟ้า เที่ยวชมความงาม สัมผัสกลิ่นหอม และสีสันสะดุดตาของดอกไม้หลากสีกันเองครับ เติมความสุขให้กับหัวใจ กอดรับไออุ่นของความรู้สึกดีด้วยสวนดอกไม้แสนสวยเหล่านี้กันได้เลย อ่านต่อ บทความแนะนำ  >>ฤดูไหนดีที่สุด ? เที่ยวสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส<<  

อ่านเพิ่มเติม
ชม ‘เทศกาลดอกทิวลิป’ ที่ประเทศแคนาดา พร้อมบอกประวัติความเป็นมาสุดเหลือเชื่อ
ชม ‘เทศกาลดอกทิวลิป’ ที่ประเทศแคนาดา พร้อมบอกประวัติความเป็นมาสุดเหลือเชื่อ

24 ม.ค. 62

ซึ่งวันนี้ ทัวร์ครับ จะพาไปเปิดประวัติความปังของดอกทิวลิปกับเทศกาลดอกทิวลิป ประเทศแคนาดากัน ว่าก่อนจะมาเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลกอย่างทุกวันนี้ มันผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง พร้อมแนะนำจุดชมดอกทิวลิปที่สวยที่สุดในโลก จะเป็นที่ไหนนั้นตามไปชมกันเลย ดอกทิวลิปไม่ได้มีต้นกำเนิดในยุโรปแบบที่หลายคนคิด ตรงนี้ต้องบอกเลยนะคะว่าเข้าใจผิดกันเยอะว่าดอกทิวลิปนั้นมาจากยุโรปโดยตรง เพราะเห็นประเทศไหนๆ ก็ขึ้นดี ปลูกสวย มีเทศกาลดอกทิวลิปให้ชมเยอะแยะไปหมด แต่ความเป็นจริงแล้วทิวลิปเป็นดอกไม้พื้นเมืองที่ขึ้นตามธรรมชาติในเอเชีย ไม่ใช่ฝั่งยุโรปแม้แต่นิดเดียว ซึ่งดอกทิวลิปนั้นมีความสวยสด งดงาม และมีเอกลักษณ์ของความหรูหราจนทำให้ถูกใจราชวงศ์ออตโตมันอย่างมาก และมีการนำไปปลูกในบริเวณราชวัง รวมถึงแกะสลักเป็นงานศิลปะต่างๆ ออกมาให้เห็นทั่วไปหมด ซึ่งทำให้ดอกทิวลิปมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในปีค.ศ. 1559 ทิวลิปก็ถูกนำเข้ามาปลูกในยุโรปที่ประเทศเยอรมนีแห่งแรก และขยายวงกว้างสู่เอนเวิร์ป เบลเยียม และเวียนนา จนในที่สุดก็มาสร้างความยิ่งใหญ่อลังการอยู่ที่เทศกาลดอกทิวลิป ประเทศแคนาดาอย่างทุกวันนี้นั่นเอง ใครได้ครอบครองดอกทิวลิป แสดงว่าเป็นคนรวย สาเหตุที่ทำให้ดอกทิวลิปในเทศกาลดอกทิวลิป แคนาดา เป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าทางใจและมีมูลค่า ดูยังไงก็สวยหรูดูแพง ก็เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีการผสมพันธุ์ดอกไม้เกิดขึ้น เพราะเค้าถือว่าเป็นความผิดตามหลักศาสนา ทำให้ทิวลิปที่ปลูกยากมีราคาแพงมาก จนมีแต่คนรวยเท่านั้นที่หามาครอบครองได้ ด้วยความต้องการอวดรวยของเหล่ากษัตริย์และขุนนางต่างๆ ทำให้แข่งขันแย่งชิงกันซื้อดอกทิวลิปมาปลูกไว้ในพื้นที่ของตัวเอง จนทำให้เดือนเดียวราคาทิวลิปกลับสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เท่า! ดอกทิวลิปแค่ดอกเดียวแพงเท่าบ้านหรือตึกตึกหนึ่งเลยล่ะครับ ซื้อกันระนาวราวกับเทรดหุ้น จนในที่สุดก็ต้องมีกฎหมายออกมาควบคุมดูแลให้เป็นระบบ และจบลงด้วยความสวยงามตระการตาคงเอกลักษณ์ของความงดงามน่าค้นหาเอาไว้จนถึงยุคปัจจุบัน เทศกาลดอกทิวลิปที่สวยที่สุด อยู่ที่ประเทศแคนาคา สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาเทศกาลดอกไม้เพื่อเยี่ยมชมในช่วงวันหยุดยาวล่ะก็ บอกเลยว่าประเทศแคนาดาเป็นตัวเลือกที่ดีมากที่สุดเลยล่ะครับ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของที่นี่เค้าโด่งดังมาก ถึงขนาดถูกยกย่องให้เป็นเทศกาลดอกทิวลิปที่ดีที่สุดในโลก โดยสอดคล้องกับวันหยุดช่วงสงกรานต์ของบ้านเราพอดี เพราะเทศกาลดอกทิวลิปของเค้าจะจัดขึ้นในช่วงหน้าร้อนเดือนเมษายน โดยถูกจัดที่เกาะซีเบิร์ด เป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำที่ยาวที่สุดในแคว้นบริติช โคลัมเบีย นั่นก็คือ แม่น้ำเฟรเซอร์ นั่นเอง โดยที่นี่นับเป็นเทศกาลดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเราเลยล่ะครับ มีดอกทิวลิปให้ชมมากกว่าหนึ่งล้านดอกเลยทีเดียว สามารถเรียกแขกและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้หลั่งไหลกันเข้ามาสร้างกระแสการเงินให้สะพัดได้มากถึง 500,000 คนต่อปี เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีเยี่ยมที่สุดในแคนาดา!! เพราะเค้าเปิดให้เราเข้าไปชมความงามของทุ่งดอกทิวลิปได้ฟรีๆ แบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และที่สำคัญคือ สามารถเข้ามารับชมได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสะดุดตาของเทศกาลดอกทิวลิปของประเทศแคนาดานี้จริงๆ ปั่นจักรยานชิลๆ รอบทุ่งกว้าง สัมผัสบรรยากาศและประสบการณ์แบบไม่รู้ลืม สุดท้ายแล้วอีกหนึ่งกิจกรรมน่าทำเวลามาเที่ยวชมเทศกาลดอกทิวลิป ณ ประเทศแคนาดาก็คือ เราไม่ต้องเดินเล่นให้เมื่อยตุ้มเลยครับ ขอแค่มีจักรยานสักคันก็สามารถปั่นมาแบบชิลๆ รับสายลมปะทะใบหน้า สูดบรรยากาศอันสดชื่นและหอมตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุขได้เลย ซึ่งที่นี่จะมีดอกทิวลิปหลากสีไว้ต้อนรับเพื่อนๆ แบบชมได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย แต่แนะนำนิดนึงว่าให้มาช่วงเช้าๆ หน่อยนะครับ เพราะแลนด์มาร์กที่นี่ดีต่อใจมากจริงๆ ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเค้าก็หวังเอาไว้ว่าอยากจะมาสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเองเช่นกัน ทำให้ตอนสายๆ หน่อยอาจจะคนเยอะมากจนถ่ายรูปยาก ถ่ายรูปไม่สวย ดังนั้นถ้ามาแต่เช้า คนน้อยๆ ก็จะถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจกลับไปได้เต็มที่เลย สำหรับใครที่อยากจะไปทัวร์ยุโรปชมความงดงามของเทศกาลดอกไม้ หรือสัมผัสทุ่งดอกทิวลิปที่แท้จริงด้วยตาตัวเอง ก็อย่าลืมมา จอง ทัวร์ยุโรป กับทาง ทัวร์ครับ ในช่วงเดือนเมษายนกันด่วนเลยนะครับ เพราะถ้าช้าเนี่ยอดแน่นอน เนื่องจากเมษายนเป็นเดือนหยุดยาว เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ เที่ยวเล่นแบบไม่มีใครมารบกวนมากที่สุดแล้ว ดังนั้นให้โอกาสตัวเองได้พักบ้าง มาเติมเต็มพลังชีวิตในการทำงาน และพัดพาเรื่องร้ายๆ ออกไปจากจิตใจ ด้วยการมาชมความงาม สูดอากาศบริสุทธิ์ ณ เทศกาลดอกไม้ที่ยุโรปกันเถอะ!   อ่านต่อ .. บทความแนะนำ >>2 ปีมี 1 ครั้ง !! “เทศกาลพรมดอกไม้” บนจัตุรัสสวยสุดในโลก<<  

อ่านเพิ่มเติม